Home Blog

Trend ของ Consumer เมื่อโลกเข้าสู่ภาวะวิกฤตใหม่

ช่วงเวลาที่หลาย ๆ นักการตลาดและแบรนด์ ติดตามกันว่าจะเกิดอะไรขึ้น และหลาย ๆ เทรนด์คงจะมาเล่าเรื่องว่าจะใช้เทคโนโลยีอะไร หรือ Channel ไหนที่น่าจะได้ผลที่สุด แต่เอาเข้าจริงแล้ว ถ้าในหลักการตลาดสิ่งที่สำคัญที่สุดในพื้นฐานการตลาดคือการที่เราต้องเข้าใจ Consumer ของเราเองก่อนว่า กำลังเผชิญกับอะไรและมีปัญหาอะไร ที่จะกระทบต่อการมาปฏิสัมพันธ์ต่อแบรนด์และทำให้การทำแบรนด์นั้นมีความยากยิ่งขึ้นอย่างมากในปี 2024 นี้ไม่ว่าคุณจะใช้เครื่องมืออะไรก็ตาม 

Recession and Lay Off 

เรื่องนี้น่าจะเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดอย่างมากในช่วงเวลานี้ หลาย ๆ แบรนด์​นั้นสนใจว่าเทคโนโลยีอะไรจะมา แต่หลงลืมว่า รายได้หรือกำไรของบริษัท ไม่ได้ขึ้นอยู่กับเทคโนโลยี หรือช่องทางการขายที่พัฒนาขึ้น แต่ขึ้นกับ เงินหรือรายได้ของผู้บริโภคที่มีในปัจจุบันมากกว่าว่ามีอยู่แค่ไหนเช่นกัน ซึ่งสถานการณ์ที่เกิดขึ้นคือ การที่หลาย ๆ บริษัทนั้นเกิดการ Layoff ขึ้นมา และทำให้ความกังวลนี้ขยายตัวเข้าไปในกลุ่มบริษัททำงานทั้งหลายที่เริ่มเห็นสถานการณ์เศรษฐกิจที่ชะลอตัวเกิดขึ้น ทำให้เริ่มมีการ Layoff ตาม ๆ กันมาอย่างมาก ทำให้กลุ่มคนทำงานหรือชนชั้นกลาง ๆ หลาย ๆ คนนั้น เกิดการว่างงานอย่างทันที ซึ่งด้วยการว่างงานนี้เอง จะส่งผลให้กระทบต่อภาคการเงิน และส่งผลกลับมายังแบรนด์เช่นกัน จากการสำรวจของ Nielsen พบว่า ด้วยภาวะการเช่นนี้ ทำให้ผู้บริโภค จ่ายเงินเพิ่มเพราะด้วยการที่อัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น แต่ได้ปริมาณสินค้าลดลง ซึ่งทำให้ผู้บริโภค จะมีการคิดเรื่องการใช้จ่ายเพิ่มขึ้นอย่างทันที 

ด้วยเศษฐกิจเช่นนี้ ผู้บริโภคต่างหวังว่าสถานการณ์จะดีขึ้นจากปลายปีที่ผ่านมา แต่เมื่อเข้าสู่ต้นปีที่มีแต่ข่าวร้ายเข้ามา ทำให้สถานการณ์ตามความเป็นจริงกลับแย่ลงอย่างมาก โดย 6% ของผู้บริโภครู้สึกว่าแน่ลงอย่าเห็นได้ชัด 17% เห็นว่าแย่ลง 35% คิดว่าเหมือนเดิมกับความแย่ที่มีอยู่แล้ว 30% เห็นว่าดีขึ้นและ 13% บอกดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด  

แต่ในทางกลับกันสิ่งที่แตกต่างไปคือ ภาวะของชนชั้นนำหรือผู้มีรายได้สูงหรือคนที่มีความมั่งคั่งอยู่แล้วกลับไม่ได้รับผลกระทบอะไรจากเหตุการณ์อย่างมาก กลับกันเนื่องด้วยมีต้นทุนที่สูงมาก ทำให้ภาวะที่วิกฤตตอนนี้ กลุ่มคนเหล่านี้สามารถเปลี่ยนเป็นโอกาสได้อย่างทันที โดยมองหาสินค้า บริการ ที่ตรงกับความต้องการ หรือช้อนซื้อแบรนด์ หุ้น หรือองค์กรที่กำลังได้รับความยากลำบากในเศรษฐกิจเช่นนี้ เพื่อไปทำกำไรต่อได้อย่างต่อเนื่องอย่างทัน 

จากการที่ภาวะการเป็นเช่นนี้ ทำให้ผู้บริโภคจะมีการคิดในเรื่องการใช้จ่ายเพิ่มขึ้นอย่างมาก และแบรนด์ที่ปรับตัวได้กับภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ ถึงจะสามารถเติบโตได้อย่างมาก ซึ่งเราสามารถจำแนก Trend ของ Consumer ที่กำลังเกิดขึ้นในภาวะวิกฤตนี้ออกมาได้โดย 

1. Calculation Spending : เมื่อเศรษฐกิจไม่ดีขึ้น รายรับก็มีผลอย่างต่อเนื่อง และตัวเลขการว่างงานหรือการเลิกจ้างเพิ่มสูงขึ้น ทำให้รายได้ที่ไม่แน่นอนหรือลดลงนั้น จะทำให้ผู้บริโภคนั้นเริ่มคิดคำนวนการใช้จ่ายเพิ่มขึ้นอย่างทันที ว่าอะไรคือสิ่งที่จำเป็นต้องจ่ายหรืออะไรคือสิ่งที่ไม่จำเป็น ด้วยการที่มีการใช่จ่ายที่จำกัดนี้ สิ่งที่จะเห็นตามมา คือค่าใช้จ่ายที่คิดว่าไม่จำเป็นหรือสิ้นเปลือง เช่น เสื้อผ้าใหม่ ๆ เสมอ สินค้าตกแต่งบ้านที่มากเกินไป หรือการออกไปชมความบันเทิงนอกบ้านจะหายไปทันที แบรนด์ต้องเริ่มมาคิดว่า จะทำยังไงให้ผู้บริโภคนั้น รู้สึกว่า คุ้มค่าต่อการใช้จ่ายของตัวเองไป หรือทำให้แบรนด์ตัวเองนั้นมีความจำเป็นต่อกลุ่มผู้บริโภคขึ้นมา ตัวอย่างรถไฟฟ้าที่ขายเรื่องประหยัดและความคุ้มค่าในช่วงนี้ 

2. Same but Cheaper : ความที่รายได้ไม่แน่นอน หรือรายได้ลดลง กำลังซื้อลดลง ทำให้ผู้บริโภคต้องหาทางรอดด้วยการหาซื้อสินค้าที่เคยใช้แบบเดิม หรือคล้ายที่เคยใช้ แต่ต้องราคาถูกลงมา เพราะผู้บริโภคคิดว่าการจ่ายเงินเพื่อค่าการตลาดนั้นไม่จำเป็น ในเมือสามารถซื้อสินค้าที่มีคุณสมบัติ หรือคุณภาพใกล้เคียงกันได้ในราคาที่ลดลง ตัวเลขนี้เกิดขึ้นในต่างประเทศแล้วเมื่อผู้บริโภคหันไปซื้อสินค้าพวก FMCG ในกลุ่มแบรนด์ House Brand/Private Label ที่เพิ่มขึ้น ตัวอย่างห้าง Aldi หรือ Trader’s Joe เองก็ตามที่เป็นสินค้า House Brand ที่ราคาถูกลงแต่คุณสมบัติและคุณภาพเท่ากับแบรนด์ใหญ่ ๆ แบรนด์ในอนาคตนั้นต้องบอกให้ได้ว่า ตัวเองมีดีอะไร ดีกว่า House Brand และ Private Brand อย่างไรขึ้นมา 

3. Best Quality : ไม่ว่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้น ลดลง หรือเท่าเดิม ในภาวะการณ์เช่นนี้จะทำให้ การใช้จ่ายมีรูปแบบที่สำคัญอย่างหนึ่งนั้นคือ การจ่ายเพื่อซื้อสินค้าและบริการที่มีคุณภาพ สูงที่สุด เพื่อให้ได้ใช้งานได้ยาวนานมากขึ้น หรือเลือกบริการที่จะมีบริการหลังการขาย ที่จะทำให้ผู้บริโภคนั้นคิดได้ว่า มีความคุ้มค่าในการจ่ายเงิน เพราะไม่ต้องซื้อเปลี่ยนบ่อย ๆ หรือมีบริการที่จะมาช่วยเหลือแก้ไขตลอดการใช้งาน โดยไม่ต้องซื้อใหม่ หรือเปลี่ยนบริการใหม่ขึ้นมา โดยการสำรวจผู้บริโภคอังกฤษกว่า 67% ระบุว่าจะซื้อเฟอร์นิเจอร์ที่คุณภาพสูงมากขึ้นที่สามารถใช้ได้ยาวนานมากกว่า การซื้อเฟอร์นิเจอร์ถูก ๆ ที่ต้องเปลี่ยนบ่อย ๆ สิ่งที่แบรนด์ทำได้คอืการมาเล่าบริการหลังการขายที่จะช่วยดูแลสินค้าและบริการ และอายุการใช้งานว่าคุ้มค่าต่อการซื้อไปมากน้อยแค่ไหน 

4. Reuse/Repair : เช่นเดียวกันกับกระแสในการซื้อสินค้าที่ใช้ได้ยาวนานมากขึ้น การประหยัดค่าใช้จ่ายนั้นมีผลต่อความคิดผู้บริโภคอย่างมาก ทำให้นอกจากเรื่องการซื้อสินค้าและบริการที่ใช้ได้ยาวนานขึ้นอย่างมาก ทำให้สินค้าที่ซื้อไปแล้ว หรือกำลังจะเลือกซื้อใหม่ จะเริ่มมีแนวโน้มการ ซ่อมสินค้าหรือเลือกสินค้าที่ซ่อมกลับมาใช้ใหม่ได้ง่ายเพิ่มขึ้น และมองหาสินค้ามือสอง ที่ยังมีสภาพที่ดีอยู่มาใช้งาน ในตอนนี้จะเห็นได้ว่า โกดังสินค้ามือสองนั้น มีการเข้าไปจับจ่ายใช้สอยเยอะอย่างมาก และคลิปการซ่อมสินค้าก็ได้รับความนิยมขึ้นมา ทำให้แบรนด์ในอนาคต ต้องเริ่มหันมาเล่าการดูแลของแบรนด์ว่าสามารถซ่อมเอง ดูแลเองได้ง่ายมากน้อยแค่ไหน หรือสามารถเอาไปทำประโยชน์อย่างอื่นด้วยได้ไหม เพื่อทำให้รู้สึกว่า การมีแบรนด์ใช้ต่อนั้นคุ้มค่าต่อการเลือกซื้อใหม่ขึ้นมา 

5. Life for Live : กระแสนี้ก่อตัวขึ้นจากการที่คนทำงานนั้นเริ่มรู้สึกว่า การทำงานหนักแล้วไม่ได้อะไรขึ้นมา และยังทำให้เสียทั้งสุขภาพกาย และสุขภาพพจิต ทำให้ Burn Out หรือเลวร้ายกว่านั้น ทำให้เกิดความรู้สึกเป็นโรคทางจิตใจ ไม่ว่าจะ ซึมเศร้า หรือโรคสองอารมณ์ขึ้นมา ด้วยเหตุนี้ทำให้ค่านิยมใหม่ ๆ ที่จะเริ่มดูแลตัวเองมากขึ้นนั้นก่อขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด โดยเริ่มมากจากการที่ฝั่งยุโรปมีการทำงานเพื่อเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต มากกว่าใช้ชีวิตเพื่อการทำงาน จึงทำให้เห็นการทำงานที่เหลือแค่ 4 วันต่อสัปดาห์ เข้างานและเลิกงานตรงเวลา ตามงานหลังเลิกงานหรือวันหยุดถือว่าผิดกฏหมาย และใช้จ่ายกับเรื่องความสบายทางกายและใจตัวเองเพิ่มขึ้น โดยการสำรวจของ Mintel 36% มีภาวะสุขภาพจิตในรอบ 6 เดือนที่ผ่านมา และ พบว่า 67% ของคนไทยดูแลสุขภาพเพิ่มขึ้นกับคนใกล้ตัว ซึ่งแบรนด์ควรจะเริ่มทำการตลาดหรือเข้าใจปัญหานี้ พร้อมการนำเสนอว่าแบรนด์จะช่วยให้คนนั้นได้ใช้ชีวิตได้ดีอย่างไรขึ้นมา 

6. For the Future : ด้วยการที่อนาคตของการใข้ชีวิตนั้นเป็นเรื่องสำคัญในตอนนี้ และการมีสุขภาพกายและใจที่ดีเป็นเรื่องสำคัญของตัวเอง การเริ่มมาใส่ใจสิ่งแวดล้อมหรือปัญหาทางสังคมที่จะมีผลต่อความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นของผู้บริโภคนั้นกลายเป็นเรื่องสำคัญมาทันที ตัวอย่างผู้บริโภคคนไทยกว่า 80% นั้นเห็นด้วยต่อความสำคัญของสิ่งแวดล้อม และแบรนด์ที่ส่งเสริมเรื่องนี้จะทำให้ได้รับความสนใจเพิ่มมากขึ้น นั้นทำให้อนาคตนั้นเรื่องความยั่งยืนหรือแบรนด์ที่มีส่วนช่วยในความยั่งยืนจะได้รับความนิยมมากกว่าแบรนด์ที่ไม่ได้ใส่ใจในเรื่องนี้ หรือไม่ได้มีส่วนร่วมในความยั่งยืนนี้ขึ้นมา ทั้งนี้แบรนด์ควรเริ่มวางแผนความยั่งยืนของตัวเอง ว่าสินค้าและบริการของตัวเองส่งเสริมความยั่งยืนอย่างไร 

การเข้าใจความคิดของผู้บริโภคและจิตวิทยาเบื้องหลังว่าปัจจัยอะไรมีผลต่อการตัดสินใจซื้อ หรือบริโภคของผู้บริโภคนั้นเป็นเรื่องสำคัญ การเข้าใจผู้บริโภคก่อนที่จะเข้าใจว่าเทคโนโลยีอะไรกำลังจะมานั้นจะเป็นตัวผลักดันที่จะทำให้การตลาดนั้นไปได้ถูกทาง

สวนกระแส Trend เมื่ออนาคตของธุรกิจ ไม่ได้อยู่ที่ AI 100% แต่เป็น Data และ Human Experience 

เริ่มปี 2024 มานี้ สิ่งที่คนทำธุรกิจ ทำการตลาด จะต้องมามองเป็นประจำคือการมองหาว่าอะไรที่จะเป็น Trend หรือกระแสว่าอะไรที่กำลังจะมาในปีนี้แล้วควรจะทำ หรือควรสนใจในการทุ่มทรัพยากรลงไป ทั้งนี้หลาย ๆ สำนักได้ออกมาบอกแล้วว่า AI นั้นกำลังจะกลายเป็นคลื่นและกระแสที่แรงอย่างมากในปี 2024 นี้ และไม่ว่าใครก็ทำ AI ไม่เช่นนั้น คุณจะตามหลังธุรกิจและการตลาดคนอื่นทันที 

ทุกวันนี้ AI เข้ามาบทบาทสำคัญอย่างมากในชีวิตประจำวัน และมีส่วนช่วยหลาย ๆ คนในการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นการใช้ ChatGPT, Dall-E, Notion และอื่น ๆ อีกมากมาย พร้อมกันนี้หลาย ๆ องค์กรในภาคธุรกิจก็ปรับตัวกันอย่างมากมายในการใช้ AI ขึ้นมา เข้ามาใช้ในการทำธุรกิจ ที่เห็นได้อย่างชัดเจนอย่างมากคือการเอามาใช้กับ Call-Center หรือ Chatbot ต่าง ๆ และเอามาใช้ในหลังบ้านตัวเองกับการทำ Customer Service, Marketing Service หรือ Advertising Service ของตัวเองอย่างมากมาย และมีแนวโน้มอย่างมากที่ AI นี้จะถูกมาใช้มากขึ้นเรื่อย โดยจะมีการใช้แทนที่ในแผนกต่าง ๆ ที่ต้องลดคนลงเพื่อประหยัดค่าใช้จ่ายลง ซึ่งเทรนด์นี้ก็จะเห็นขึ้นมาเรื่อย ๆ ซึ่งเมื่อมาคิดดูแล้วโลกธุรกิจกำลังจะไปถูกทางหรือไม่ที่เอา AI มาใช้แทนคนในส่วนต่าง ๆ เพื่อประหยัดค่าใช่จ่ายนี้ 

แน่นอนว่า AI นั้นฉลาดขึ้นเรื่อย ๆ และเก่งขึ้นเรื่อย ๆ สามารถทำงานแทนมนุษย์ในหลาย ๆ ส่วนได้ แต่การใช้ AI ในทุก ๆ อย่างนั้นไม่ใช่คำตอบอย่างแน่นอน ในสมัยที่ผมยังเด็กนั้นเคยอ่านมังงะเรื่อง ต๊องแน่ แต่อัจฉริยะเรียกพี่ ซึ่งเป็นมังงะ ว่าด้วยเรื่องร้านขายของสิ่งประดิษฐ์ต่าง ๆ ที่จะแก้ไขปัญหาในชีวิตของผู้ที่สนใจ มีตอนหนึ่งที่นำเสนอเรื่อง AI ที่ตัวเอกในเรื่องทำขึ้นมา เพื่อใช้ในการบริการลูกค้าที่มาซ่อมสินค้าของตัวเอง ปัญหาของเรื่องคือเมื่อเพื่อนของตัวเอก ต้องการจะซ่อมสินค้าของตัวเอง ได้ไปให้ตัวเอกพาไปซ่อมให้และได้ลองใช้ AI สายพานที่นำเข้าสู่การช่วยเหลือ Customer Service แต่ด้วยความตรงไปตรงมาของ AI ในเรื่องทำให้ไม่ยอมซ่อมสินค้าเพราะไม่มีอะไหล่ ทั้ง ๆ ที่สินค้านั้นใช้อะไหล่ที่ใกล้เคียงกันซ่อมได้ ทำให้ระบบการช่วยเหลือด้วย AI นี้ล้มเหลวทันที เพราะไม่สามารถบริการอะไรได้เลย แถมยังสร้างปัญหาให้เกิดความหงุดหงิดใจของผู้ที่มาใช้บริการหลังการขายด้วย 

จากในเรื่องในทุกวันนี้ เวลาเรามีปัญหาก็มักจะโทรเข้า Call Center, Customer Service ปัญหาของการใช้ Call Center, Customer Service ของหลาย ๆ ที่คือการที่จะพยายามจะโชว์ว่าตัวเองมีความล้ำและเหนือชั้นในการใช้เทคโนโลยีกว่าใคร เลยเอาระบบอัตโนมัติมาทำงานหรือในยุคนี้ก็เป็น AI บางส่วน ปัญหาของระบบเหล่านี้ คือการที่ไม่เข้าใจว่า ความร้อนใจของมนุษย์คืออะไร และเวลาที่เราต้องการการแก้ปัญหา เราไม่ได้รู้จริง ๆ ว่าปัญหามันเกิดจากอะไร เราแค่รู้ว่ามันใช้งานไม่ได้ หรือมีปัญหาเท่านั้น แล้วหลาย ๆ ครั้งมันไม่ใช่การโทรไปให้ช่วยแก้ปัญหา แต่เป็นการระบายปัญหาต่างหาก ทำให้ระบบอัตโนมัติหรือ AI ไม่เข้าใจเบื้องหลังอารมณ์คนเหล่านี้ และพยายามจะแก้ปัญหาตรง ๆ ซึ่งหลาย ๆ ครั้งก็เป็นการแก้ปัญหาที่ไม่ได้ตรงจุดอีกด้วย ซ้ำบางทียังไม่ทันแก้ปัญหาได้ ก็ตัดบริการทิ้งทันที กว่าจะได้คุยกับมนุษย์ที่เป็น Call Center, Customer Service นั้นมีความยากลำบากอย่างมาก และทำให้การแก้ปัญหาหรือบรรเทาปัญหานั้นยากลงโดยทันที 

ภาพจาก https://slate.com/

จากปัญหาข้างต้นที่ AI เป็นในตอนนี้ และอีกนานกว่าจะเป็นทำให้อนาคตของธุรกิจ จะไม่ได้อยู่ที่ AI เพราะสิ่งที่ผู้บริโภคต้องการจริง ๆ ในการทำปฏิสัมพันธ์ต่าง ๆ และเพื่อที่จะทำให้จบการขายได้นั้นคือ มนุษย์ด้วยกันเอง ซึ่งที่ AI ยังทำไม่ได้ เรียกได้ว่า คือความเป็นมนุษย์และการที่มนุษย์เข้าใจในอารมณ์และการพลิกแพลงเพื่อแก้ปัญหาได้ ลองนึกภาพในการแก้ไขสถานการณ์การขายสินค้า ที่ ถ้าสินค้าหมด หรือเพื่อ upsale, cross sale ต่าง ๆ มนุษย์จะทำการแนะนำได้ดีกว่า เพราะเราสามารถกล่อมและโน้มน้าวว่าสินค้าหรือบริการไหนที่แทนกันได้ และ ควรมีเพิ่ม ทำให้ AI ที่ยังขายสินค้าที่ขาดความเฉลียว และเจ้าเล่ห์แบบพ่อค้าในตอนนี้ยังทำไม่ได้ สุดท้ายแล้ว อนาคตจริง ๆ ของการทำธุรกิจในตอนนี้และจนกว่า AI จะทำตัวเหมือนคนได้จริง ๆ คือการสร้างปฏิสัมพันธ์แบบ Human Experience มากกว่าการที่เอา AI มาใช้ทั้งหมดเพื่อลดภาระคน การใช้คนจะกลายเป็นหัวใจสำคัญที่จะเอาชนะ AI ในตอนนี้เลย

และนอกจากที่ Human Experience จะมีความสำคัญ สิ่งหนึ่งที่จะมีความสำคัญต่อมาคือเรื่อง Data เพราะในอนาคตทั้งหลายระบบต่าง ๆ จะมี AI เข้ามาเป็นตัวกลางและการแนะนำของ AI นั้นแตกต่างอย่างมากจากการใช้งาน Digital Service โดยทั่วไปที่ ผู้ใช้จะเป็นคนเลือกเองว่าจะสนใจข้อมูลอะไร หรือรับรู้ข้อมูลอะไร ลองนึกถึงการใช้งาน google search ที่เมื่อพิมพ์ไปจะมีเป็นผลลัพธ์การค้นหาขึ้นมาว่า สิ่งที่ค้นหานั้นเจออะไรบ้าง และผู้ใช้เองก็เลือกได้ว่าจะต้องการดูข้อมูลไหน หรืออยากรู้ข้อมูลไหนต่อก็ทำการกดไปอ่านต่อนั้นเอง หรือแม้กระทั่งเว็บไซต์พวก E-Commerce เวลาที่ทำการค้นหาสินค้า ก็จะเจอร้านค้าหลาย ๆ ร้านที่มีสินค้าที่ตรงหรือคล้ายกับที่ค้นหามาให้เลือกมากมาย และให้ผู้ใช้นั้นเป็นผู้เลือกว่าจะสนใจร้าน ไหนในการซื้อสินค้า ซึ่งจะเห็นได้ว่า แม้มี AI มาเกี่ยวข้อง แต่ AI ในปัจจุบันทำหน้าที่อยู่เบื้องหลังในการเลือกและ Personalised ทุกอย่างที่เกี่ยวข้องกับความสนใจมาแสดงให้ผู้ใช้บริการตัดสินใจในการเลือกข้อมูลต่าง ๆ เพื่อการตัดสินใจเอง 

แต่ในอนาคตถ้า AI กลายเป็นผู้ช่วยส่วนตัวเหมือนในทุกวันนี้ ที่หลาย ๆ คนเข้าไปหาข้อมูลผ่าน ChatGPT กันจะเกิดอะไรขึ้น ด้วยความที่มนุษย์ขี้เกียจโดยธรรมชาติ และอยากประหยัดพลังงานสมอง ทำให้หลาย ๆ ครั้งผู้ใช้ ChatGPT จะเลือกเชื่อข้อมูลและใช้ข้อมูลจาก ChatGPT โดยทันทีโดยไม่ได้ Validate ข้อมูลนั้น ๆ ซึ่งหลาย ๆ ครั้งเอง ChatGPT ก็มั่วข้อมูลขึ้นมา ซึ่งในตอนนี้มีการบัญญัติศัพท์การมั่วข้อมูลโดย AI นี้ว่า AI hallucination และแน่นอนการปฏิสัมพันธ์ในการได้มาซึ่งผลลัพธ์ต่าง ๆ ที่ผ่าน ChatGPT นั้นจะมีอย่างจำกัดเพราะจะเลือกข้อมูลที่ตรงคำถามหรือคำค้นหามากที่สุดขึ้นมา โดยไม่ได้ตัวเลือกต่าง ๆ จำนวนมากให้มาเลือกเอง และนั้นจะเป็นปัญหาของธุรกิจและการตลาดคุณโดยทันที เพราะถ้า AI ไม่แนะนำคุณ คุณก็จะหายไปจากการรับรู้ การเจอของกลุ่มเป้าหมายที่ใช้ AI โดยทันที 

ทั้งนี้ปัญหาของทางออกที่จะเอาชนะกระแส AI แบบนี้ได้คือ การที่คุณต้องทำ Data ของตัวเองเอาไว้ โดยเฉพาะ Customer Data ของตัวเอง ที่รู้ว่าลูกค้าของตัวเอง เป็นใคร ซื้อบ่อย หรือใช้บริการบ่อยแค่ไหน ชอบซื้อสินค้าและบริการอะไร มีความชอบส่วนตัวต่าง ๆ อย่างไร และมี Lifestyle นิสัย บุคลิกลักษณะต่าง ๆ อย่างไรขึ้นมา แล้วเอา Data นี้มาใช้ร่วมกับ Human Experience โดยให้ Data และการใช้งาน AI ที่อยู่เบื้องหลังในการทำงาน จัดกลุ่มลูกค้าและสร้างสรรค์ว่าแต่ละกลุ่มควรจัดการอย่างไร และให้มนุษย์นั้นเองกลายเป็นผู้ปฏิสัมพันธ์สุดท้าย หรือถ้าอยากใช้ AI ก็ให้ทำ Personalised Campaign ผ่านระบบ Digital ต่าง ๆ สู่กลุ่มเป้าหมายเพื่อประกาศต่าง ๆ ทางการตลาดได้ ทั้งนี้การใช้ Data ลูกค้าตัวเองจะทำให้สามารถตัดคนกลางในการนำเสนอต่าง ๆ สู่การนำเสนอโดยตรงกับลูกค้าได้ และแน่นอนถ้าคุณมี Loyalty Fan สิ่งที่จะตามมาคือการที่ลูกค้าเอาไปบอกต่อกัน กลายเป็น KOL/Influencer กันเองได้ โดยไม่ต้องพึ่งตัวกลางในการทำการตลาดที่อาจจะไม่แนะนำคุณเลยก็ได้แทน

ทั้งนี้อนาคตในช่วงนี้ สิ่งที่สำคัญอย่างมาก ไม่ใช่การทำตามกระแสเพื่อที่จะนำหน้าคนอื่น แต่เป็นการหันกลับมามองหลักการพื้นฐานทางการตลาดที่เรียกว่า 4P โดยเฉพาะ คำว่า People นั้น กลุ่มเป้าหมาย กลุ่มผู้บริโภคนั้นอยากได้อะไรกันแน่ในการมาคุยเพื่อขายสินค้ากับเค้า ช่วยแก้ปัญหาเค้า ระหว่าง AI หรือคน 

 สรุปความน่าสนใจ (โดยเฉพาะไทย) ของ DIGITAL 2023 OCTOBER GLOBAL STATSHOT REPORT จาก Simon Kemp 

0

บริษัท We Are Social และ Meltwater ได้รวมรวมตัวเลขที่น่าสนใจเอาไว้ โดยรวมสถิติที่น่าสนใจในที่ต่าง ๆ เข้าด้วยกันเอาไว้ จนออกมาเป็น Stats ที่น่าสนใจในเดือนตุลาคมนี้ โดยตัวเลขแรก ๆ ที่รายงานคือ 

1.จำนวนประชากรที่เติบโตเข้าหลัก 8 พันล้านคนเข้าไปแล้ว แต่ที่น่าสนใจคือ จำนวนการเพิ่มนั้นเข้าสู่ที่ตัวเลขที่นิ่ง ๆ แล้ว โดยมีอัตราการเติบโตสูงขึ้นประมาณเกือบ 1% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว หรือประมาณแค่ 72 ล้านคนตลอด 12 ปีที่ผ่านมา 

2. การเข้าถึงเครื่องมือ มือถือ มีจำนวนหมายเลขมือถือที่ลงทะเบียนกว่า 5.6 พันล้านหมายเลข เทียบเป็นประชากรประมาณ 69.4% ของโลก และมีอัตราการเพิ่มการใช้งานถึง 2.7% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว หรือมีคนใช้มือถือเพิ่มขึ้นมา 145 ล้านคน (แต่อย่าลืมว่า คนนึงอาจจะมี 2 หมายเลขขึ้นไปได้) 

3. ตัวเลขผู้ใช้งาน Internet เป็น 5.3 พันล้านคน หรือประมาณ 65.7% ของประชากรโลกได้ มีการเติบโตเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 3.7% (แต่อย่าลืมว่า Internet Cafe นับเป็น 1 ทำให้ตัวเลขจริงอาจจะสูงกว่านี้มาก) 

4. ตัวเลขตัวตนในออนไลน์ใน Social Media มีจำนวน 4.95 พันล้าน Account หรือเป็น 61.4% ของประชากรโลก เพิ่มขึ้น 4.5% จากปีที่แล้ว นับเป็นจำนวนที่เพิ่มกว่า 215 ล้านคน 

มาดูการใช้เวลาในออนไลน์กัน โดย GWI พบว่ามีอัตราการใช้เวลาในออนไลน์เพิ่มขึ้น 4 นาที เมื่อเทียบกับ 6 เดือนก่อน โดยตอนนี้ค่าเฉลี่ยการใช้งานออนไลน์อยู่ที่ 6 ชั่วโมง 41 นาทีได้ และประเทศไทยเอง ใช้เวลาในออนไลน์สูงถึง 8 ชั่วโมง 2 นาทีด้วยกัน ในขณะที่ญี่ปุ่นใช้เวลาในออนไลน์เพียงแค่ 3 ชั่วโมง 54 นาที โดยเฉพาะประเทศที่พัฒนาแล้ว ต่างใช้เวลาในออนไลน์น้อยกว่า ค่าเฉลี่ยมาก นอกจากนี้อายุยังมีส่วนในการใช้เวลาในออนไลน์น้อยลง จะเห็นได้ว่า กลุ่มคนอายุน้อยใช้เวลาในออนไลน์น้อยกว่ากลุ่มคนอายุเยอะอย่างมาก 

ตัวเลขต่อมาคือ TV ที่ตัวเลขลดลงต่อเนื่อง โดยเวลาในการดูทีวีลดลงกว่า 13 นาที เหลือเพียง 3 ชั่วโมง 12 นาที  แต่ก็ไม่ได้ไปเพิ่มที่ออนไลน์ เพราะตัวเลขในการใช้ Social Media ก็อย่างที่ 2 ชั่วโมง 24 นาที ลดลง 4 นาที เช่นกัน ตัวเลขในสื่ออื่น ๆ ก็ลดหมดทุกอย่าง 

ตัวเลขการเติบโต Social Media ที่เริ่มไม่ได้เติบโตสูงขึ้น โดยโตแค่ 1.6% จากเดือนกรกฎาคม 2023 รวมเป็น 4.95 พันล้าน Account โดยตัวเลขที่เพิ่มขึ้นมาจากการที่ ทวีป Africa มีคนใช้เพิ่มขึ้นนั้นเอง แต่อย่าลืมว่า คนหนึ่งสร้างได้หลาย Account และมี Account ปั่นอีกด้วย และนอกจากนี้คนยังใช้เวลากว่า 33% จากสื่อทั้งหมด อยู่บน Social Media และมีกว่า 6.7 Platforms ต่อ Users 

Social Media Referrals  จากการศึกษาของ Similar Webs พบว่า Social Media Referrals ลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญ ต่อเว็บไซต์ข่าวต่าง ๆ ทำให้เว็บข่าวใหญ่ ๆ สูญเสียคนเข้าเว็บนับล้านคนเลยทีเดียว จากการศึกษาเชิงลึกเพิ่มเติมพบว่าไม่เพียงแต่ Social Media Referrals ที่ลดลงไปในเว็บไซต์ข่าวเท่านั้น จำนวนการเข้า Apps ข่าวก็น้อยลงด้วย 

นอกจากเว็บไซต์ข่าวที่สูญเสียคนเข้าเว็บไซต์จากการที่ Social Media Referrals หายไป ทาง Kepios ก็พบว่าแบรนด์เองก็สูญเสียลูกค้าจาก Social Media Referrals เช่นกัน โดยเว็บไซต์แบรนด์มีอัตราการลดลงของ Social Media Referrals เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว 

เมื่อเจาะลึกไปถึงตัวเลขเชิงลึกจะพบว่าสิ่งทื่ลดจาก Social Media Referrals คือ Organic Social Media Referrals ที่ลดลงในทุก Industries ทำให้ทุกแบรนด์ต้องยอมจ่ายเงินเพื่อซื้อโฆษณาใน Social Media จนทำให้ Ads ใน Social Media เป็น ช่องทางที่แบรนด์จะทำให้คนเจอ รองจาก TV Ads และ Search Engines 

พฤติกรรมหนึ่งที่น่าสนใจคือ คือ คนไปคุยกันใน Social Media แต่จะมาหาแบรนด์จากการเข้าไปค้นหาใน Google หรือ จากการกดลิงก์เนื้อหาที่น่าสนใจจาก E-mail เพราะแม้ว่า Facebook หรือ Social media อื่น ๆ จะเป็น social media referrals ที่ดีกว่า 65.24% แต่การโพสลิงก์ใน Social Media กลับได้ Engagement ต่ำที่สุด เพียง 0.03% เมื่อเทียบ Engament กับ Post Reach จะพบว่า โพส content ธรรมดาให้ผลตอบแทนที่มากที่สุด รองลงมาคือการทำ Reels สิ่งที่น่าสนใจคือ Facebook ลงโทษการโพสลิงก์ เพราะไม่ว่า Content คุณจะน่าสนใจมากแค่ไหน แต่การลิงก์ออกไป จะทำให้ Facebook กดค่าทุกอย่างชองคุณอย่างมาก 

อันนึงที่เปิดเผยจาก Locowise ออกมาคือ ยิ่งเพจใหญ่ขึ้น ยิ่งตัวเลขแฟนที่มา Engagement ยิ่งต่ำลงไปอีก จากตัวเลขนี้ ถ้าคุณเป็นเว็บไซต์ใหญ่ และเพจใหญ่ คุณไม่สามารถพึ่งพา organic social media post ได้แล้ว และต้องหา Channel ใหม่ ๆ ในการดึงคนเข้าเว็บไซต์ 

ตัวเลขการใช้ Device ก็มีตัวเลขที่แปลกตาไปเช่นกัน เพราะ Personal Computer นั้นมีอัตราการใช้งานที่ลดลง แต่กลับมีอัตราการเพิ่มที่ Work Computer ที่เพิ่มขึ้น และมือถือที่เพิ่มขึ้น แดสงถึงคน หันมาใช้คอมพิวเตอร์ที่ได้จากที่ทำงานแทนการซื้อเอง และใช้อุปการณ์อื่น ๆ ในการเข้าถึงอินเทอร์เนตต่าง ๆ นอกจากนี้ Features Phone ยังฆ่าไม่ตาย เพราะมีตัวเลขที่สูงขึ้น 2.1% จากปีที่แล้ว ประเทศไทยนับว่าเป็นอีกหนึ่งประเทศที่ใช้มือถือในการเข้าอินเทอร์เนต มากกว่าการใช้คอมพิวเตอร์ เมื่อเทียบแล้ว ประเทศไทยรับว่าสูงที่สุดในการใช้มือถือและ Tablet ในการเข้าอินเทอร์เนต เมื่อเทียบกับ คอมพิวเตอร์ 

ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม เว็บไซต์นั้นยังเป็นสิ่งที่เรียกว่า หัวใจหลักของการทำแบรนด์ในออนไลน์ เพราะ 4 ใน 10 คนที่อยู่ในวัยทำงานยังคงเข้าเว็บไซต์แบรนด์อยู่ ไม่ว่าจะอายุมากหรือน้อยก็ตาม รองลงมาคือการดูวิดีโอจากแบรนด์ และตามแบรนด์ใน Social Media ต่าง ๆ 

ตัวเลขการใช้งานออนไลน์ในสื่อ Social Media Apps จะเห็นได้ว่าคนใช้งาน Tiktok สูงที่สุดกว่า 33 ชั่วโมง 38 นาที รองลงมาคือ Youtube และ Facebook แต่เมื่อมองความถี่ในการใช้งาน  (วัดที่แอนดรอยด์เท่านั้น) Whatsapp ยังคงเป็น App ที่เปิดสูงสุดกว่า 911.6 ครั้ง รองลงมาคือ Line 354 ครั้งและ IG กว่า 337.1 ครั้งนั้นเอง 

Facebook ยังแข็งแกร่งตอนนี้ เพราะมีคนใช้กว่า 3.03 พันล้านคนต่อเดือน หรือคิดเป็น 37.6% ของประชากรโลกที่ใช้งาน รองลงมาคือ Youtube และ Whatsapp 

Tiktok ads มียอด Reach มีผู้ใช้กว่า 1.2 พันล้านคน โตขึ้นกว่า 28.8% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า หรือประมาณ 272 ล้าน Account โดยประเทศไทยมี Reach ของ Tiktok Ads อยู่ที่ 65.3% และ Tiktok เป็น Social Media ยอดนิยม อันดับ 5 ในตอนนี้  

Instagram นั้นก็โตเช่นกันอย่างมาก  ความนิยมใน Social Media ต่าง ๆ จะเห็นได้ว่า Instagram นั้นครองใจในหมู่วัยรุ่นและ 1st Jobber อย่างมาก และเมื่ออายุมากขึ้นจะกลายเป็น  App ที่ใช้คุยงานแทนเช่น Whastapp, Messenger, Line จะเห็นได้ว่า IG Ads นั้นเข้าถึงคนมากกว่า 1.6 พันล้านคนเลยทีเดียว โตขึ้นกว่า 2.5% จากไตรมาสที่แล้ว 

ตัวเลขที่น่าสนใจสุดท้ายคือ การที่โฆษณาทำให้ผู้ที่เห็นโฆษณารู้สึกสนใจหรือตรงกับความเป็นตัวเองหรือไม่ จะเห็นได้ว่า ในประเทศไทยมีเพียง 15.7% ที่บอกว่าโฆษณานั้นครง ซึ่งเป็นตัวเลขที่น้อยมากเมื่อเทียบกับเงินโฆษณาที่ลงไป 

ศึกษา Technology Hype Cycle ของ Gartner เพื่อทำนายกระแสอะไรจะมา อะไรจะไป

0

Technology Hype Cycle ของ Gartner นั้นเป็นกราฟที่แสดงถึงการที่เทคโนโลยีไหนจะมา จะไป หรือจะคงอยู่ไปได้นานแค่ไหน ซึ่ง Gartner บริษัทวิเคราะห์ด้านเทคโนโลยีข้อมูล ซึ่งจะขายข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับอุตสาหกรรมเทคโนโลยี ได้เริ่มใช้เมื่อปี 1995 ซึ่งนับตั้งแต่เวลานั้นจนถึงปัจจุบัน Hype cycle นี้ถูกใช้โดยบรรดาเหล่า CIO หรือ Senior IT ทั้งหลายมาโดยตลอด จนถึงบริษัท Agency ต่าง ๆ ที่ใช้เพื่อวิเคราะห์่ว่ากระแสไหนจะมา จะไปหรือคงอยู่นานแค่ไหน หรือจะขึ้นสูงจุด peak หรือยัง

5 phases of Hype Cycle

Hype Cycle ของ Gartner นั้นจะแบ่งช่วงของ Technology ออกเป็น 5 ช่วงคือ

  1. “Technology Trigger” – นี่เป็นช่วงต้น hype cycle ซึ่งช่วงนี้เป็นช่วงที่เทคโนโลยีนั้นเพิ่งเกิด หรือ เพิ่งถูกค้นพบ หรือกำลังเป็นกระแสที่สนใจของสื่อเป็นปรากฏการณ์แรก โดยช่วงนี้ถ้าเป็นบริษัทที่เพิ่งเกิดก็เพิ่งจะได้รับการลงทุนครั้งแรก หรือผลิต สิ่งของชิ้นแรก ๆ ที่จะมีราคาสูงและมีความต้องการสูง อีกทั้งยังเป็นที่สนใจต่อคนกลุ่มที่อยากเป็นพวกอยากลองแรก ๆ
  2. “Peak of Inflated Expectations” – เป็นช่วงถัดมาจากช่วงแรก ช่วงนี้เป็นช่วงที่เกิดการสนใจที่มากเกินกว่าจะเป็น หรือ ได้รับการคาดหวังที่สูงมากเกินไป ซึ่งมีส่วนน้อยที่จะประสบความสำเร็จและส่วนใหญ่นั้นล้มเหลวไป ในช่วงนี้อะไรที่เกิดนั้นจะเกิดการกระจายตัวอย่างรวดเร็ว และเกิดกิจกรรมมากมายจากคนกลุ่มที่เป็นพวกลองแรก ๆ และอาจเริ่มมีข่าวเสียหายกับบริษัทเกิดขึ้น
  3. “Trough of Disillusionment” – เป็นช่วงที่เทคโนโลยีหลายตัวที่ไม่สำเร็จหรือไม่ได้ตามความคาดหวังของคน และเริ่มกลายเป็นสิ่งที่คนเลิกฮิตได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งช่วงนี้สื่อเริ่มจะไม่ลงข่าวหรือไม่มีใครสนใจแล้ว ซึ่งช่วงนี้บริษัทอาจหาผู้ผลิตยากขึ้น หรืออาจมีการเข้ามาลงทุนรอบใหม่เกิดขึ้น
  4. “Slope of Enlightenment” – เป็นช่วงที่สื่อนั้นเลิกทำ scoope พิเศษเกี่ยวกับข่าวเทคโนโลยีดังกล่าว บางบริษัทเริ่มกลับมาศึกษาเทคโนโลยีในช่วงนี้ว่าอะไรมีประโยชน์และลองมาใช้ปฏิบัติจริง ๆ ในช่วงนี้คนจะใช้เทคโนโลยีดังกล่าวหมดแล้ว ผลิตภัณฑ์บางชิ้นอาจออกรุ่น 2 หรือ 3 ออกมา และในช่วงนี้เองบางบริษัทจะได้ pattern ของการออกรอบสินค้า
  5. “Plateau of Productivity” – เป็นช่วงเข้าสู่ยุคที่คงที่ หรือการผลิตเทคโนโลยีดังกล่าวไม่มีการลดหรือเพิ่ม และประโยชน์ของเทคโนโลยีดังกล่าวกลายเป็นที่ยอมรับโดยทั่วไป

นอกจากนี้ใน กราฟ Hype Cycle แล้ว จะมีการบ่งชี้ว่าเทคโนโลยีนั้นจะอยู่ได้นานแค่ไหน โดยจะแบ่งเป็น

  1. อยู่เกิน 10 ปี
  2. อยู่ 5 -10 ปี
  3. อยู่ 2-5 ปี
  4. อยู่ไม่เกิน 2 ปี
  5. ตายก่อนที่จะ Plateau

ด้วยการแบ่งเช่นนี้ ทำให้คนที่ทำธุรกิจ หรือที่สนใจในกระแสเทคโนโลยีนั้น สามารถเลือกได้ว่า จะสนใจเทคโนโลยีที่จะอยู่ยาวแค่ไหน และ อะไรที่เป็นแค่กระแสสั้น ๆ หรือไม่มีโอกาสได้เกิดบ้าง ทำให้การลงทุนในเทคโนโลยีนั้นจะไปถูกทางมากขึ้น

ซึ่งใครสนใจวิธีใช้เชิงลึกแล้วละก็ลองหาหนังสือเล่มนี้อ่าน Mastering the Hype Cycle: How to Adopt the Right Innovation at the Right Time ซึ่งเขียนโดย Jackie Fenn และ Mark Raskino  ซึ่งเป็นนักวิเคราะห์จาก Gartner

แล้วปีนี้ละ Hype Cycle ของ Gartner ว่าอย่างไร?

มี 4 theme technology ที่น่าสนใจ คือ

  1. Emergent AI เป็นเทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับ AI ต่าง ๆ ที่จะมาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน ในตอนนี้ที่ทุกคนสนใจ Generative AI แต่ในกราฟจะเห็นว่า Generative AI เข้าใกล้จุด Peak และกระแสกำลังเริ่มลงมาแล้ว แถมยังอยู่ได้เพียง 2-5 ปีเท่านั้น ถ้านับจาก Hype ที่ผ่านมาก็เหลือเวลาอีกไม่นาน ซึ่งในขณะที่โลกสนใจ Generative AI มีเทคโนโลยี AI ต่าง ๆ ที่น่าสนใจ เช่น Federated Machine Learning ที่เป็นการสอน Machine Learning Algorithm ด้วยการไม่มี Data ที่ต้องห้ามในการสอน ML เพื่อมี Privacy และความปลอดภับที่ดี หรือ AI Simulation ที่สามารถ Simulated สิ่งแวดล้อมเพื่อทำการเทส สอน และทดสอบ หรือ Neuro-symbolic AI ที่เป็นการรวมกันระหว่าง AI และ ML ด้วยเทคนิคใหม่ ๆ ที่จะทำให้อยู่ได้นานมากกว่า 10 เทคโนโลยีต่าง ๆ เหล่านี้ ที่กำลังเริ่มกลายเป็นกระแสและอยู่ได้นานกว่า
  2. Developer Experience เป็นเรื่องราวของเทคโนโลยีที่จะมาช่วยนักพัฒนา Software ต่าง ๆ ให้สามารถทำงานได้ดีเพิ่มมากขึ้น มีเครื่องมือต่าง ๆ ที่ดีมากขึ้นไปเอง ไม่ว่าจะเป็นการใช้ AI-augmented software engineering ในการเอา AI มาช่วยสร้าง Software และดูแล Software ต่าง ๆ เหล่านี้ขึ้นมา
  3. Pervasive Cloud เป็นเทคโนโลยีที่สนใจในเรื่อง Cloud Computing ว่าจะมีการพัฒนาและมีส่วนสำคัญกับการพัฒนานวัตกรรมของธุรกิจอย่างไร ช่วยให้ธุรกิจปรับตัวและขยายตัวได้ทันความต้องการมากน้อยแค่ไหน
  4. Human-Centric security and Privacy เป็นเรื่องราวของเทคโนโลยีที่สนใจในเรื่อง ความปลอดภัย และความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ต่าง ๆ ได้อย่างไร โดยสนใจว่าเทคโนโลยีพวกนี้จะมีส่วนช่วยธุรกิจให้สร้างความน่าเชื่อถือ และความสนใจกับผู้บริโภคในการดูแลความปลอดภัยและความเป็นส่วนตัวของผู้ใช้ต่าง ๆ ขึ้นมา ในยุคที่มีการใช้ data มากมายเช่นนี้

ซึ่งในบรรดาเทคโนโลยีเหล่านี้ บางตัวเมืองไทยก็เริ่มใช้แล้ว แต่ใครนั้นจะประสบความสำเร็จและอยู่ได้นานแค่ไหนก็ต้องมาดูกันครับ ใครที่กำลังทำงานด้าน Technology และต้องตัดสินใจว่าจะเลือกใช้เทคโนโลยีอะไร ควรจะลองใช้ไหม ก็ลองเอา Technology Hype Cycle จาก Gartner ไปช่วยตัดสินใจดูครับ

ทำอย่างไร ถึงจะสร้างความแตกต่างทางการตลาดออกจากตลาดเดียวกันได้

0

ในตลาดที่ทุก ๆ คนนนั้นเข้ามาลงตลาดแข่งขันในทุก ๆ สมรภูมิเดียวกัน แม้ว่าคุณนั้นจะมีจุดที่ไม่เหมือนใคร แต่คุณยังก็ต้องแข่งขันในธุรกิจที่ผู้บริโภคเป็นผู้เลือกอยู่ดี หากยังมองไม่เห็นภาพลองนึกถึงธุรกิจอาหาร ที่มีการแข่งขันสูง และคุณเป็นผู้บริโภค คุณอาจจะอยากกินเบอร์เกอร์จาก Burger King หรือกินไก่ทอด KFC ไม่ก็เห็นโฆษณา McDonald แล้วอยากอุดหนุน สุดท้่ายแล้วไม่ว่าอาหารจะดีแค่ไหน แต่คุณจะเลือกสิ่งที่เป็น อาหารอร่อย ราคาไม่แพง และให้ประสบการณ์ที่ดีแก่ตัวเอง

เพื่อที่จะชนะในตลาดนี้ คุณไม่จำเป็นต้องเป็นที่ 1 หรือมาเป็นที่ 1 เพียงแค่สร้างผลิตภัณฑ์ให้ตรงกับความต้องการของผู้บริโภค และนี้คือวิธีการ 7 ข้อที่จะทำให้คุณนั้นสร้างความแตกต่างของคุณเองออกจากตลาดได้ ไม่ว่าคุณกำลังจะออกผลิตภัณฑ์ หรือระดมหาทุนในชุดแรกเพื่อธุรกิจคุณ

  1. Design : หาหนทางที่ธุรกิจคุณจะสร้างความแตกต่างผ่านสีโลโก้ ดีไซน์ และ Branding ถ้าผลิตภัณฑ์คุณคือมือถือ ลองดูไอคอนของ App ทั้งหมดในมือถือ แล้วดูว่าเค้าใช้สีอะไร ถ้าไอคอนทั้งหมดสีส้มและแดง ตัดสินใจไปเลยว่าโลโก้คุณนั้นควรจะใช้สีที่แตกต่างออกไปจากสิ่งที่คุณเห็นบ่อย ๆ
  2. Pricing Strategy : เพื่อจะแตกต่างจากการคู่แข่ง และสร้างความแตกต่างในด้านการแข่งขันนั้นคือการสร้างความรู้สึกให้ผู้บริโภครู้สึกว่าสินค้าของคุณนั้นดีหรือดีกว่าสินค้าเจ้าอื่นในตลาด คุณจำเป็นต้องทำตลาดให้ถูกที่ ทำราคาให้เหมาะสมกับสินค้าที่คุณนำเสนอ ดังที่ Tomasz Tunguz จาก Redpoint Ventures เขียนไว้มุมมองทั่วไปในโมเดลการตั้งราคาในบริษัท Startups ทั้งหลายที่จะมีแบบ freemium, limited free trial, จ่ายหน้าโต๊ะ หรือการันตีผลคืนเงินให้
  3. Domain Expertise : อะไรคือเรื่องราวของคุณ ทำไมคุณถึงเริ่มธุรกิจตัวเอง  ทำไมคุณถึงเหมาะสมที่จะทำธุรกิจนี้ ทำไมปัญหาที่คุณแก้นั้นทำให้คุณต้องทำงานดึกขึ้น ในตลาดที่มีการแข่งขันสูง มี CEO จำนวนไม่มากที่ตั้งบริษัทจากการที่มีความเชี่ยวชาญในสิ่งที่สนใจ มากกว่าผู้แสวงหาโอกาสที่ตั้งบริษัทจากเหตุผลที่ผิด ๆ คุณสามารถแตกต่างจากคนอื่นได้ด้วยการเล่าประวัติความเป็นมาของบริษัทคุณผ่านเว็บไซต์ และนำเสนอความเชี่ยวชาญของทีมคุณในตลาดผ่านการพูดในที่สาธารณะ การคอมเมนท์ และการบล็อกประสบการณ์ของคุณออกมา
  4. Business Development : ตามหาบริษัทขนาดใหญ่หรือบริษัท Startups อื่นที่มีกลุ่มผู้สนใจคล้าย ๆ กัน แต่ไม่ใช่คู่แข่งในสินค้าเดียวกัน เพื่อทำการตลาดคู่กันผ่าน cross-promotion หรือแลกเปลี่ยนข้อมูล ทำโปรเจคพิเศษหรืออีเว้นท์ (ตัวอย่างนี้เห็นได้ในญี่ปุ่น ที่ฟาร์มที่เป็นสุดยอดทางการขายนม จะแสวงหา partner ที่เป็นฟาร์มสุดยอดผลไม้ จนมาทำผลิตภัณฑ์ร่วมกันเป็นสุดยอดผลิตภัณฑ์ หรือ หูฟัง Beat by Dre ก็เป็นตัวอย่างหนึ่ง) ใช้เทคโนโลยีอย่าง LinkedInCrunchBase และ Xmarks เพื่อตามหาธุรกิจที่มีศักยภาพที่จะพัฒนาเป็น partner ถ้าอยากรู้เพิ่มเติมลองอ่านที่  Alex Taub ซึ่งเป็น biz dev builder ที่ Dwolla ซึ่งจะชอบเขียนเกี่ยวกับกลยุทธ์ partnership สำหรับ startups
  5. Customer Service : ประสบการณ์ที่สุดยอดของผู้บริโภคจะสร้างลูกค้าตลอดชีวิต การสร้างประสบการณ์ที่มีค่าเพื่อนำไปบอกต่อแล้วลูกค้าคุณจะไปแชร์เรื่องราวของสินค้าคุณกับเพื่อนเค้า ให้คอยติดตามการพูดถึงบริษัทคุณผ่าน Twitter และ Facebook เพื่อตอบสนองลูกค้าให้ได้ตามที่ลูกค้าต้องการ ตัวอย่างบริษัทที่มีบริการลูกค้าที่ดีลองดูใน STELLA Service แล้วดูที่ Footer เว็บนี้ว่ามีบริษัทใดบ้างที่มีบริการลูกค้าที่ดี
  6. Guerrilla Marketing  : ถ้าคุณไม่รอจนถึงเดือนมีนาคมที่จะมีเทศกาล SXSW ซึ่งเป็นเทศกาลเปิดตัว Startups ไปแล้ว เพื่อที่จะเปิดตัวสินค้าคุณให้ยิ่งใหญ่ ก็ให้ทำสิ่งบ้า ๆ ไปเลยในเดือนที่คุณจะปล่อยผลิตภัณฑ์ออกมา เพื่อให้สินค้าคุณนั้นมาอยู่ตรงหน้าผู้บริโภคและต้องสร้างกระแสสื่อได้ต่ออีกด้วย  คุณต้องแน่ใจว่าคุณได้รับอนุญาติที่จะทำเคมเปญในสถานที่นั้น ๆ แล้ว ถ้าสินค้าคุณเป็นสินค้าท้องถิ่น ให้ลองคิดตัดสินใจการทำกิจกรรมในร้านอาหาร ร้านกาแฟด้วยการสร้างป้ายสัญลักษณ์ให้สนใจ หรือในถนนที่คุณสามารถคุยกับคนที่สนใจได้โดยตรง  ถ้าคุณมีงบการตลาด ลองซื้อป้าย Billboard เพื่อเข้าถึงกลุ่มคนที่มีศักยภาพที่จะมาเป็นลูกค้าคุณ ตัวอย่างที่ดีคือLivingSocial,GrouponBox.netDuckDuckGo, และ  Hipmunk ที่ต่างก็ซื้อป้ายโฆษณามาในอดีต สำหรับแรงบันดาลใจเพิ่มเติมลองดูที่ ตัวอย่าง นี้ซึ่งเป็น  guerrilla marketing  โดยแบรนด์ทั่วโลก
  7. Product Offering : จากที่เขียนมาทั้งหมด เป็นเรื่องของผลิตภัณฑ์ คุณไม่สามารถทำสิ่งต่าง ๆ ด้านบนได้ดีประสิทธิภาพ ถ้าปราศจากผลิตภัณฑ์ที่คนต้องการที่จะเข้ามามีส่วนร่วมด้วย ซื้อ หรือเอาไปแชร์บอกต่อเพื่อน การสร้างผลิตภัณฑ์ที่ดีไซน์มาดี มีความสนุกที่จะใช้มัน และแก้ไขปัญหาที่แท้จริง ทั้งหมดนี้คุณจะอยู่นำหน้าในทางที่คุณเดินตลอดเวลาในตลาดที่แข่งขันกันสูง

แยกตัวตนของ Users/Target Group ด้วย โมเดลจิตวิทยา Big 5

0

“The ‘big five’ factors of personality are neuroticism (which reflects emotional stability), extroversion (seeking the company of others), openness (interest in new experiences, ideas, and so forth), agreeableness (likability, harmoniousness), and conscientiousness (rule abidance, discipline, integrity).” ― Donald O. Clifton, Now, Discover Your Strengths

ด้วยความเข้าใจ Personality แบบนี้จะทำให้สามารถเข้าใจกลุ่มเป้าหมายได้ในเชิงลึกขึ้นอย่างมาก และจะทำให้สามารถจัดการ ตอบสนองความต้องการของกลุ่มเป้าหมายได้เชิงลึกขึ้น

ในการทำการตลาดหรือสร้างสินค้า บริการขึ้นมานั้น ส่วนใหญ่ผู้ที่ทำแผนหรือกำลังคิดจะสร้างสินค้าหรือบริการมักจะกำหนดตัวตนของ User หรือ Target ที่อยากจะเข้าไปให้ใช้บริการ ซื้อ หรืออุปโภคบริโภคก็แล้วแต่ ด้วยการใช้สิ่งที่เรียกว่า Demographic โดยจะแบ่งกลุ่มเป้าหมายออกมาเป็น เพศ อายุ ที่อยู่ ฐานะ การศึกษา และการใช้ชีวิต แต่ในความจริงแล้ว คนนั้นไม่เหมือนกันโดยรายละเอียด แม้ว่าจะมี demographic ที่เหมือนกัน

ก่อนอื่นเลย บุคลิกภาพนั้นเป็นตัวก่อให้เกิดลักษณะนิสัยต่าง ๆ ที่คนเรานั้นแสดงออกทางสังคมมา เช่นบางคนไม่ชอบเข้าสังคมอย่างมาก หรือบางคนเป็นคนที่จู้จี้จุกจิก บางคนก็ใช้อารมณ์กับเรื่องต่าง ๆ หรือบางคนขี้กลัวจนไม่กล้าทำอะไรใหม่ๆ ได้ ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นจากการที่ว่าคุณอยู่กับสิ่งแวดล้อมไหนในชีวิต

บุคลิกภาพเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของสัญชาติญาณของมนุษย์ในการเอาตัวรอดขึ้นมา เช่นการเรียนรู้ที่จะอยู่กับกลุ่มสังคมโดยไม่สร้างความขัดแย้ง หรือการที่สามารถเอาชนะความกลัว ความเสี่ยง จนลองอะไรใหม่ ๆ ได้ หรือการเก็บตัวเพื่อหลีกหนี้จากภัยอันตรายที่อาจจะเข้ามาในชีวิต ซึ่งคนแต่ละบุคลิกลักษณะนั้นจะมีความชอบหรืือรายละเอียดในชีวิตที่ทำให้ตัวเองนั้นเหมาะกับงาน หรือเหมาะกับสังคมในแต่ละแบบขึ้นมานั้นเอง ทั้งนี้ด้วยการที่นักจิตวิทยาเฝ้าทำการศึกษามนุษย์มาจึงสามารถออกโมเดลทางจิตวิทยาพฤติกรรมคนออกมาในรูปแบบมากมาย ไม่ว่าจะเป็น MBTI, Ennagram และอื่น ๆ ซึ่งในวงการธุรกิจและการตลาดแล้ว โมเดลที่ถูกนำมาใช้มากสุดก็คือ Big 5 Model หรือหลาย ๆ คนเรียกว่า OCEAN/ CANOE

Big 5 Personality Model

ตัว OCEAN นั้นแบ่งบุคลิกภาพของมนุษย์ออกมาเป็นกลุ่มก้อนใหญ่ ๆ ด้วยกัน 5 ข้อ นั้นคือ

  • Openness หมายถึงการเปิดรับประสบการณ์อะไรใหม่ ๆ ได้ ไหม คนที่สามารถเปิดรับประสบการณ์ใหม่ ๆ ได้จะสามารถลองอะไรที่แปลก ๆ หรือสุดโต่งได้ แต่ถ้ามีความ Openness ต่ำ แสดงว่าจะเป็นคนที่ไม่สามารถรับอะไรใหม่ ๆ ได้ มีความ conservative สูงคุ้นชินในแบบเดิมมากกว่า
  • Conscientiousness หมายถึงเป็นคนที่มีระเบียบวินัยมากแค่ไหน มีความรับผิดชอบมากแค่ไหน และมุ่งมั่นมากแค่ไหน คนที่มีคะแนนในข้อนี้เยอะมักจะเป็นคนที่ลงรายละเอียดอย่างมาก ดูทุก ๆ details และมักใช้เหตุผลในการตัดสินใจเสมอ เมื่อเทียบกับคนที่มีคะแนนข้อนี้ต่ำมักจะทำอะไรตามอารมณ์ของตัวเอง
  • Extraversion หมายถึงการที่มีความสามารถในการเข้าสังคมมากน้อยแค่ไหน โดยทั่วไปคนที่มีคะแนนข้อนี้เยอะ มักจะอยากเจอผู้คน อยากรู้จักผู้คนและชอบอยู่ในวงสังคมอยู่ตลอดเวลา ซึ่งคนที่มีคะแนนน้อยก็มักจะชอบเก็บตัว ทำกิจกรรมอะไรที่ทำได้คนเดียวมากกว่า หรืออยู่กับคนที่มีความชอบแบบเดียวกัน
  • Agreeableness หมายถึงการที่ประณีประนาม ความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น คนที่มีคะแนนข้อนี้เยอะมักจะเป็นคนที่ไม่ค่อยสร้างความขัดแย้ง มีจิตใจเมตตา หรือคิดถึงประโยชน์ส่วนรวมก่อนตัวเองเสมอ ถ้ามันขัดแย้งกับคนอื่นแต่เพื่อส่วนรวมก็จะยอมตาม ถ้าคนมีคะแนนข้อนี้ต่ำมักจะเป็นคนที่เอาตัวเองเป็นที่ตั้งก่อน ต้องตัวเองได้ก่อนถึงคนอื่นค่อยได้ตาม
  • Neuroticism หมายถึงความวิตกกังวล หรือเครียดง่าย หงุดหงิดง่าย คนที่มีคะแนนข้อนี้เยอะ จะเป็นคนที่เครียดได้ง่ายอย่างมาก เจอเรื่องอะไรอาจจะมีความคิดมาก วิตกกังวล หงุดหงิดได้ แต่ถ้ามีคะแนนข้อนี้ต่ำจะกลายเป็นคนที่สบาย ๆ ผ่อนคลายและมีสมาธิสูงเลยทีเดียว

ด้วยความที่สามารถจัดคนออกมาเป็นบุคลิกลักษณะแบบนี้ได้ ทำให้คนทำสินค้าและบริการ หรือนักการตลาดเองที่สามารถเก็บข้อมูลบุคลิกลักษณะไม่ว่าจะทางตรงหรือทางอ้อมออกมา ก็สามารถวางแผนที่จะสร้างการตลาดหรือจัดการกลุ่มเป้าหมายตามบุคลิกภาพออกได้ ซึ่งส่งผลให้แทนที่จะสร้างกลยุทธ์ตาม Demographic แต่นี่จะกลายเป็นการสร้างกลยุทธ์ที่ลงถึงจิตวิทยาของผู้บริโภค ที่เข้าไปจับการทำงานแบบจิตใต้สำนึกเลยทีเดียว

วิธีการที่จะทำให้ได้ลักษณะบุคลิกของกลุ่มเป้าหมายนั้นมีตั้งแต่การเก็บ Data ทางตรงและทางอ้อมขึ้นมา ทางตรงได้แก่ให้กลุ่มเป้าหมายที่กำลังสนใจนั้นมาทำ Quiz, Questionair ต่าง ๆ แต่ถ้าทางอ้อมก็ต้องเก็บจากพฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมายที่แสดงออกมาให้เห็น รวมทั้งการใช้ชีวิตของกลุ่มเป้าหมายเหล่านี้ว่าเป็นอย่างไร เช่น คนใช้รถยนต์ Honda มักจะเป็นคนที่ Conservative มากกว่าคนที่ชอบใช้ Mazda หรือ Subaru เช่นนี้

ตัวอย่างคือ ถ้าเรารู้ว่า กลุ่มเป้าหมายนั้นเป็นคนที่มีความ Extraversion สูง ๆ ก็สามารถออกแบบกิจกรรม หรือสร้างแคมเปญการตลาดที่ดึงกลุ่มเป้าหมายนั้นมาด้วยการทำกิจกรรมร่วมกับคนใหม่ ๆ หรือมาเจอฝูงคนที่ทำให้เขารู้สึกได้ว่าเข้าสังคม หรือถ้าเป็นคนที่ประณีปประนอมสูง การสร้างการตลาดที่ทำให้เขารู้สึกว่าได้ช่วยคนอื่น ได้ทำอะไรเพื่อคนอื่น ก็จะทำให้คนกลุ่มนี้สามารถมาร่วมได้อย่างง่ายได้

ซึ่งด้วยการทำการตลาดที่เจาะ Psychology แบบนี้สามารถสร้างผล ROI กลับมาได้มากกว่าการทำแบบ Demographic เสียอีก (มากกว่า 300%) ยิ่งสามารถผนวกกับการทำ Personalised ต่าง ๆ ได้ ยิ่งกลับเห็นผลขึ้นไปอีกอย่างมากมาย

การเข้าใจ Personality คือการเข้าใจ Target

ด้วยความเข้าใจ Personality แบบนี้จะทำให้สามารถเข้าใจกลุ่มเป้าหมายได้ในเชิงลึกขึ้นอย่างมาก และจะทำให้สามารถจัดการ ตอบสนองความต้องการของกลุ่มเป้าหมายได้เชิงลึกขึ้นอย่างมาก และบุคลิกลักษณะต่าง ๆ ของคนนั้นเปลี่ยนแปลงค่อนข้างช้า หรือ จะเปลี่ยนแปลงตาม Age Stage ที่อยู่กับภาวะในสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นมา เช่น เมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น จะมีความรับผิดชอบเพิ่มมากขึ้น หรือมีความวิตกกังวลต่ำลงเมื่ออายุมาก

และด้วยความเข้าใจ ทำให้คนที่กำลังสร้างสินค้าและบริการ จนถึงนักการตลาดเองจะสามารถเข้าใจได้ว่า จะทำให้คนที่เป็นกลุ่มเป้าหมายนั้นมาสนใจได้อย่างไร จะสร้างการเปลี่ยนแปลงให้กลุ่มเป้าหมายมาเลือกมาใช้สินค้าและบริการที่เราสร้างขึ้นมาได้อย่างไรด้วยวิธีการเหล่านี้ ซึ่งหากใช้อย่างถูกต้องแล้วละก็จะสามารถสร้างความพึงพอใจให้กับกลุ่มเป้าหมายได้ และคุณเองก็จะประสบความสำเร็จทางธุรกิจอีกด้วย

ทำไมเราถึงควรออกไปโลกกว้างลงทุนไปต่างประเทศ​ไปฟังงานสัมมนาดีๆ 

สมัยเรียนปริญญาตรี อาจารย์ท่านนึงได้เคยพูดกับผมว่า “กว่าฝรั่งจะแต่งตำราเรียนใช้เวลาเป็น 10 ปี กว่าตำรานั้นจะมาอยู่ร้านหนังสือและได้รับการยอมรับก็เป็นเวลา 10 ปี กว่าจะมาถึงประเทศไทยแล้วเกิดการแปลก็ใช้เวลาเป็น 10 ปี ดังนั้น หากเราต้องรอภาษาไทยที่มีคนเอามาเล่า เราจะตามหลังกว่า 20-30 ปีเลยทีเดียว” คำพูดนี้เป็นคำพูดที่ทำให้ผมจำทุกวันนี้ว่า โลกมันกว้างมาก ถ้ารอความรู้หรือเรื่องราวที่เราสนใจ มาหาเราเอง เราก็จะเป็นคนที่ตามโลกไม่ทันแล้ว 

ในการทำงานนั้นยิ่งถ้าต้องเป็นคนที่ติดตามข่าวสาร ความเคลื่อนไหว และการที่ต้องเข้าใจว่าโลกกำลังหมุนไปทางไหน เดินทางไปทางไหน เพื่อเตรียมตัวสร้างกลยุทธ์และแผนการที่จะช่วงชิงความได้เปรียบทางธุรกิจ หรือเข้าใจว่าจะเจอสถานการณ์อย่างไร การบริโภคข้อมูลข่าวสาร รวมถึงการไปงานสัมมนาดี ๆ นั้นสามารถช่วยให้เกิดความรู้แจ้ง หรือทำความเข้าใจในสถานการณ์ได้ดีอย่างมาก แต่การอยู่แต่ในประเทศและรอสัมมนาหรือคนที่เชี่ยวชาญในประเทศมาบอกเล่านั้นอาจจะไม่เพียงพอ เพราะคนที่เชี่ยวชาญที่เอามาบอก อาจจะไม่ได้เชี่ยวชาญจริง อาจจะเกิดจากการไปเจอมาในเว็บต่าง ๆ แล้วสังเคราะห์เป็นเรื่องราวมาเล่าบอกต่อ ทำให้เรื่องราวนั้นอาจจะบอกไม่หมด หรือเลวร้าวกว่านั้นอาจจะเกิดจากการคิดไปเอง อคติของผู้เชี่ยวชาญที่เอาข้อมูลที่ตนเองชอบมาเล่าเท่านั้น ทำให้คนที่ไปฟังนั้นได้รับข้อมูลที่ไม่หมดในทันที 

ดังนั้นการที่อยากจะได้ข้อมูลหรือข่าวสารที่แท้จริง ได้รับความรู้และได้เข้าใจจริง ๆ ว่า โลกกำลังหมุนไปทางไหน เดินทางไปทางไหนการลงสนามเองก็เป็นสิ่งจำเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะการเดินทางไปหาแหล่งต้นตอความรู้นั้น ๆ หรือไปถึงแหล่งที่รวบรวมความรู้นั้นไว้เข้าด้วยกัน เปรียบได้กับการทำ Research ของการทำธุรกิจและการตลาด ที่ต้องเข้าลงพื้นที่เอง เพื่อให้ได้รับข้อมูลที่จริง ๆ เห็นกับตาจริง ๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่ใช่นั่งบนหอคอยงาช้างและใช้การอ่านข้อมูลผ่านรายงานที่คนอื่นทำมา หรืออ่านผ่านเว็บ ซึ่งจะไม่ได้เห็นภาพจริง ๆ ขึ้นมา 

ซึ่งการเดินทางไปงานสัมมนาต่างประเทศ คือ การลงสนามที่ดีเพราะเราจะสามารถเจอตัวตนของ Source นั้น ๆ เข้ามาพูดคุยให้เราฟัง ยิ่งเป็นสัมมนาใหญ่ระดับโลก ที่มีผู้เล่นเป็น Global Player จะทำให้เราเห็นว่า โลกกำลังไปทางไหนได้ดี จากการฟังคนเก่ง ๆ ที่เป็นเจ้าของความรู้นั้น ๆ จากทั่วโลกมาพูดให้ฟัง เช่นในงาน SXSW ที่เคยไปนั้น เราจะได้ฟังคนที่ทำงาน หรือเป็นระดับ CEO ไม่ว่าจะ Elon Musk, Phil Knight CEO Nike หรือ ระดับบริหารองค์กร ไม่ว่าจะเป็นจาก IBM, Google, Microsoft, Salesforce, Netflix, Spotify และอื่น ๆ อีกมากมาย ที่จะเอาความรู้และประสบการณ์ที่เคยทำงานต่าง ๆ หรือเรื่องราวที่ตัวเองกำลังทำงานอยู่มาให้ฟัง 

การไปฟังสัมมนาดี ๆ ทำให้เราได้เจอมุมมองต่าง ๆ ของบริษัทต่าง ๆ ที่มานำเสนอแนวคิด หรือข้อมูลต่าง ๆ ที่บริษัทกำลังมุ่งไป ด้วยการฟังที่ดี เราจะสามารถต่อยอดและมองเห็นได้เลยว่าโลกเรากำลังหมุนไปทางไหน และเราต้องเตรียมตัวอย่างไรกับโลกที่กำลังมาถึงนี้ได้ นอกจากนี้ยังทำให้เราสามารถย่นระยะเวลาในการที่จะได้รับความรู้ต่าง ๆ ได้ทันที แทนที่จะรอคนเอาความรู้นั้นมาให้ผ่านเว็บไซต์ต่าง ๆ หรือรอฟังผ่านคนมาเล่าอีกที แต่การที่บินมาเองทำให้เราได้รับประสบการณ์จริง ๆ จากเจ้าของความรู้นั้น ๆ ได้โดยตรงเอง นอกจากนี้ยังสามารถถามข้อสงสัย และยังสามารถสร้าง Connection ต่อจากการติดต่อเจ้าของความรู้นั้นอีกด้วย 

ด้วยการไปสัมมนาดี ๆ ในต่างประเทศนั้น โดยเฉพาะ Global Event สิ่งที่ได้กลับมานอกจากความรู้คือ การได้ไปเห็น Show case/Exbihition ที่อยู่ในงานนั้นมาด้วย เช่นใน SXSW จะมี Exbihition มากมายที่ให้เราได้ไปลองประสบการณ์และการได้เห็นว่า แบรนด์ หรือบริษัทต่าง ๆ กำลังสร้างสรรค์แนวความคิดต่าง ๆ อะไรมาให้ลองกัน ไม่มีถูกผิด มีแต่ความคิดสร้างสรรค์ ทำให้สามารถเปิดโลกทรรศน์ได้อย่างมากมายเลยทีดียว การไปฟังงานสัมมนานั้นทำให้เกิดการสัมผัสบรรยากาศแบบ First hand experience เลยทีเดียว 

แถมการเดินทางไปต่างประเทศนั้น ยังสามารถทำให้เห็นถึง Knowledge Literacy ของในประเทศที่กำลังไปอีกด้วย ว่าเค้ามีความซับซ้อนในด้านองค์ความรู้ที่เรากำลังทำงานอยู่มากแค่ไหน หรือมีการ Implement ความรู้ที่เราได้มาจากงานสัมมนานั้นมากน้อยแค่ไหนอีกด้วย เช่นตามร้านค้า รถไฟฟ้า และโฆษณา หรือเทคโนโลยีต่าง ๆ เป็นอย่างไร เชื่อมต่อกันอย่างไร ทำให้เราสามารถเข้าใจได้ทันทีว่า เทรนด์หรือโอกาสไหนที่กำลังจะมากันแน่ 

ใครที่อยากจะกลายเป็นผู้นำ ไม่ใช่ผู้ตาม การออกไปแสวงหาความรู้ และประสบการณ์ ไม่ใช่รอความรู้นั้นคือสิ่งที่จำเป็นอย่างมากในการทำงานในปัจจุบัน 

Money Ball เมื่อการใช้ Data เอาชนะสัญชาตญาณและประสบการณ์ของคน

0

“He can’t hit, can’t run, can’t field. He’s no nice guy. All that little SOB can do is win.”

เมื่อปี 2011 นั้นมีภาพยนต์เรื่องหนึ่งออกมา ที่ว่าด้วยเรื่องเบสบอลที่ทีมเล็ก ๆ ใน Major League อย่าง Oakland Athletics นั้นสามารถเข้าไปแข่งขันใน World Series ได้ในช่วงปี 2002 ด้วยทุนที่น้อยกว่าทีมใหญ่ ๆ มหาศาล ซึ่งทีม Oakland Athletics นั้นทำได้ก็เพราะด้วยวิธีการใหม่ในการใช้ Data มาแทนสัญชาตญาณ

ภาพยนต์ Money Ball

กระบวนการทำทีมกีฬามืออาชีพในสมัยก่อนนั้น ไม่ได้มีหลักการใช้สถิติต่าง ๆ มากมายในการคัดตัวนักกีฬาเหมือนในทุกวันนี้ แต่จะใช้หลักการของแมวมองหรือที่เรียกกันว่า Scout ในการเข้าไปดูเยาวชน หรือนักกีฬาที่มีแววว่าน่าจะกลายเป็นเพชรในอนาคตได้ หรือเอาปั่นตามใจของโค้ชกีฬาได้ต่อไป ซึ่งเป็นการใช้สัญชาตญาณล้วน ๆ

ปัญหาในยุคนั้นคือการทำทีมนี้ละที่ใช้ Scout เข้าไปหานักกีฬา ซึ่ง Scout นั้นจะมีวิธีการเลือกนักกีฬาจากสัญชาตญาณต่าง ๆ หรือด้วยการดูคุณสมบัติที่แปลก ๆ เช่น ต้องมีแฟนสวยแสดงว่ามั่นใจในตัวเองสูง หรือ มีครอบครัวแล้วจะแสดงว่ามีความมั่นคงในการทำงานหรือเป็นผู้ใหญ่สูงกว่านั้นเอง โดยไม่ได้ดูถึงสถิติต่าง ๆ ที่ผ่านมาเท่าไหร่ หรือถ้าดูก็ต้องมีคุณสมบัติทางการภาพก่อนและมีสถิติที่ดี ทำให้คนที่มีค่าตัวสูง ๆ มักจะเป็นคนที่ดูดีภายนอกและมีสถิติที่ดีด้วย ซึ่งส่งผลมายังการทำทีมที่เมื่อคุณอยากจะได้คนแบบนี้ทำให้ต้องทุ่มทุนซื้อตัวมา ทำให้การทำทีมนั้นต้องใช้ทุนสูงมากเพื่อที่จะสามารถเข้าไปเล่นในช่วง World Series ได้

‘Adapt or die.’

ด้วยการที่ต้องเปลี่ยนวิธีคิดในการสร้างทีมขึ้นมาใหม่เพราะถ้าทำทีมตามแบบเดิมหรือตามทีมใหญ่จะไม่มีวันเอาชนะได้แน่นอนด้วยงบประมาณที่มี Billy Beane GM ทีมในขณะนั้นจึงได้หาวิธีใหม่ขึ้นมา โดยการที่ไปเจอ Peter Brand ที่ทำงานในทีม Cleveland Indians ได้บอกวิธีการคัดตัวนักกีฬาที่ใช้ด้วยการตัดคุณสมบัติที่ใช้สัญชาตญาณออกไป และใช้ Data มาตัดสินผสมผสานขึ้นมา

This is the new direction for the Oakland A’s. We are card counters at the Black Jack table, but we’re going to turn the odds on the casino.

สิ่งที่ Billy Beane ทำคือการมองหานักกีฬาที่ทุกคนมองข้ามไปจากรูปแบบการเล่น คุณสมบัติทางกายภาพ และอื่น ๆ มามองที่การใช้ Data อย่างเดียว ซึ่งในภาพยนต์ใช้คำพูดได้ดีมากคือ “เอาชนะทีมใหญ่ด้วยการโกงไพ่​โดยการแอบนับแต้มไพ่ที่แจกเพื่อเอาชนะบ่อน” ด้วยการใช้ Strategy ที่จะทำให้ทีมชนะได้คือ มองหาผู้เล่นที่ทำแต้มได้ขึ้นมาจาก Data เหล่านี้ หลักการนี้ทำให้ Billy Beane ได้ผู้เล่นที่มีค่าตัวถูกมากมายเข้ามาในทีม และสามารถทำทีมที่สามารถสร้างประวัติศาสตร์ขึ้นมาได้ด้วยการชนะ 20 ครั้งรวดในช่วงท้ายเกม ก่อนที่จะไปแพ้ใน World Series ต่อไป

จากการใช้ Data นี้ทำให้ทีม A’s ที่ใช้งบประมาณเพียง 41 ล้านดอลลาร์ในการทำทีมที่เข้าสู่ง World Series ได้ เมื่อเทียบกับ New York Yankees ที่ใช้มากกว่า 125 ล้านดอลลาร์ในการทำทีม ซึ่งทำให้เห็นถึงประสิทธิภาพของการใช้ Data ในการสร้างทีมที่มีคุณภาพ โดบไม่จำเป็นต้องใช้ทุนสูงมาก และเป็นการเอาชนะสัญชาตญาณต่าง ๆ ของแมวมองที่มองข้ามศักยภาพของคนบางคนไปจากรูปลักษณ์ภายนอกหรือปัจจัยทางกายภาพนั้นเอง

Data ที่เก็บมาจากการสะสมทางสถิตินั้นจะเป็นตัวบอกอย่างดีในการตัดสินใจและทำให้คนที่เกี่ยวข้องกับการตลาด สร้างทีม สร้างธุรกิจนั้นสามารถตัดสินใจโดยปราศจากอคติขึ้นมาได้ และตัดสัญชาตญาณกับประสบการณ์ที่ส่วนใหญ่มนุษย์นั้นมักจะใช้ในการตัดสินใจออกไป ทำให้เหลือแต่เพียงข้อเท็จจริงที่มองเห็นจากตัวเลขนั้น ๆ ออกมา

ดังนั้นด้วยการที่ธุรกิจในยุคนี้ที่มีการแข่งขันสูงอย่างมาก และการที่ตลาดนั้นเริ่มอิ่มตัวจากทั้งผู้เล่นหน้าใหม่และหน้าเก่า ทำให้การที่จะหาโอกาสไม่ใช่แค่เรื่องการทุ่มงบประมาณในการทำการตลาดและโฆษณาอีกต่อไป แต่หมายถึงคุณเล่นเกมการตลาดนี้ได้ฉลาดกว่าคนอื่นแค่ไหนในการทำการตลาด และวิธีการนั้นก็คือการใช้ Data ทั้งในและนอกองค์กร มามองหาโอกาสที่เกิดขึ้นนั้นเอง โดยไม่ใช่ตัวเองในการตัดสินใจออกไป

ทำธุรกิจอย่ามัวสนใจ Cherry Picking Metrics แต่ต้องสนใจว่าผลสุดท้ายเป็นยังไง 

0

การทำธุรกิจและทำการตลาด นั้นมีความสำคัญอย่างมากในการเก็บข้อมูลเพื่อมาวัดผลว่าเป็นอย่างไรบ้าง การวัดผลที่ดีนั้นช่วยในหลาย ๆ เรื่องอย่างมาก เพราะจะทำให้รู้ว่าธุรกิจและการทำการตลาดนั้นไปถูกทางหรือไม่ และหากไปผิดทางก็ยังสามารถปรับตัวในการทำงานได้ทัน แต่ในหลาย ๆ  ครั้ง ปัญหาการเดินทางผิดทางไปไกลก็เกิดขึ้นด้วย ด้วยการที่ไปสนใจการวัดผลที่ไม่ได้ชี้วัดอะไรเพิ่มเติม 

การวัดผลนั้นมีส่วนสำคัญอย่างมาก เพราะจะทำให้รู้ว่างานที่ทำไปนั้นได้ผลมากน้อยแค่ไหน  การวัดผลที่เข้าข้างตัวเอง หรือเลือกแต่ Metrics ที่แสดงผลที่ไม่ได้บ่งชี้อะไรนั้น ไม่ได้ทำให้เกิดการต่อยอดหรือส่งเสริมทางธุรกิจขึ้นมา ซึ่ง Metrics เหล่านี้ เราเรียกว่า  Cherry Picking Metrics ซึ่งเปรียบเสมือนตัวชี้วัดที่เป็นแค่เปลือก แต่ไม่ได้มีความสำคัญต่อแก่นของงาน ทำให้เวลาที่ใช้วัดผล จะดูดีทุกครั้ง แต่ไม่ได้สื่ออะไรมาก และไม่ได้ต่อยอดกับธุรกิจอะไรได้เลย ตัวอย่าง Cherry Picking Metrics ได้แก่ 

1. ยอดคนติดตามใน Social Media เป็นตัวชี่วัดที่หลาย ๆ ธุรกิจชอบใช้ในความสำเร็จว่า Social Media Page ตัวเองมีการประสบความสำเร็จมากน้อยแค่ไหน ยิ่งคนติดตามเยอะยิ่งดี แนวคิดนี้จริง ๆ แล้วเป็นแนวคิดที่เก่ามาก เพราะคนติดตามเยอะ ไม่ได้หมายความว่าคนจะซื้อสินค้าเยอะตาม หรือมีความเป็นแฟนเหนียวแน่นตามขึ้นมา เคยมีคำพูดในเรื่องนี้ว่า มีคนติดตามล้านคน แต่ไม่ซื้อสินค้าสักคน สู้แค่มีคนติดตาม 1000 คน แต่ซื้อสินค้าตลอดทั้ง 1000 คนไม่ได้ ดังนั้นการดูแค่ยอดคนติดตามใน Social Media นั้นไม่ได้ช่วยอะไรเลย 

2. ยอด View Social Media Clip ในบาง Platform ที่ชอบยกมาเป็นตัวชี้วัดอันดับ 1 ในตอนนี้ว่าคนดูคลิปกี่คน เยอะไม่เยอะ แต่เอาเข้าจริงแล้ว การมียอดคนดูเยอะ ไม่ได้หมายความว่าคนดูคลิปนั้นแล้วรับสารที่อยู่ในคลิปได้ขึ้นมา เพราะต้องไปดูใน Algorithms ของแต่ละ Platforms ว่านับยอดวิวที่ตรงไหน เพราะบาง Platform นั้น เริ่มนับวิว ก็เมื่อผ่านไปแล้วแค่ 3 วินาที ซึ่งโดย 3 วินาทีในคนทั่วไป อาจจะเกิดจากการโดนเนื้อหานั้นโดยไม่ตั้งใจเลย และยังไม่ทันรับสารในสื่อวิดีโอนั้นด้วย 

3. ยอด Pageviews ยอด Pageviews นี้เป็นอีกตัวชี้วัดหนึ่งที่มีความยอดนิยมอย่างมากในการทำ Web Content โดยดูว่ามี Pageview เท่าไหร่ในเว็บไซต์กัน ตัวชี้วัดนี้เอาจริง ๆ แล้ว แทบไม่ได้บอกอะไรเลยว่ามีความ Effective อย่างไร เพราะยอด Pageviews นั้นไม่ได้บ่งชี้ว่าคนอยู่ในเว็บอ่าน Content จบไหม หรือไปไหนต่อไหมขึ้นมา 

4. Voice ในยุคนี้หลาย ๆ แบรนด์ชอบวัดกันที่ Social Listening แต่ในความเป็นจริงแล้ว Social Listening นั้นมีความเป็น Cherry Picking Metrics ถ้าใช้งานที่ไม่เข้าใจที่มาที่ไปของ Voice นั้น ๆ ขึ้นมา หรือไม่เข้าใจว่า จิตวิทยาของคนใช้งานสื่อสังคมออนไลน์นั้นเป็นอย่างไร เช่นการที่วัดว่า Negative Voice เยอะ ก็ไม่ได้หมายความว่าธุรกิจจะแย่ หรือการที่บอกว่ามี Voice ในเรื่องต่าง ๆ เยอะในออนไลน์ก็ไม่ได้บ่งชี้ประชากรทั้งหมดได้ อีกทั้ง การโพสในโลกออนไลน์ อาจจะเป็นการสร้างภาพแบบหนึ่ง ซึ่งถ้าไม่สามารถ Verify ได้จะได้ข้อมูลที่ผิดไปทันที 

ภาพจาก https://workchronicles.com/

ดังนั้นการทำธุรกิจ และการทำการตลาดควรวัด Metrics ที่ใช้ได้จริงขึ้นมา ตัวอย่างที่ควรใช้วัดแทนในการทำธุรกิจและการทำการตลาดคือ 

1. ยอดสมาชิก และการ Active ของสมาชิกต่อวัน/สัปดาห์/เดือน ตัวการเก็บยอดการมีสมาชิกแบบได้ข้อมูลสมาชิกจริง ๆ มา และการสามารถติดตามได้ว่า สมาชิกมีความ Active มากน้อยแค่ไหน สนใจอะไรในระบบธุรกิจของเรา สามารถเอามาต่อยอดได้ทันทีในการสร้าง Segment/Persona และการทำ Attribute Interest ต่าง ๆ ขึ้นมา 

2. ยอดดูวิดีโอจบ การอ่านคอนเทนต์จบ การอยู่ในเว็บไซต์นานแค่ไหน และการกดไปดู Content อื่น เป็นตัวชี้วัดที่จะได้เห็นว่า Content ที่ทำออกไป และเว็บไซต์ที่ทำออกไปนั้นมีความ Effective มากน้อยแค่ไหน และส่งไปถึงเรื่องราวอื่น ๆ ต่อไปมากน้อยแค่ไหน ไม่ใช่แค่นับวิวแล้วจบ 

3. Voice ในการวัด voice ที่ดี ควรมีการ Verify Voice นั้นออกมา ว่าคนที่โพสในเรื่องราวต่าง ๆ นั้นมีการโพสที่ผ่านมาเป็นอย่างไร เป็นหน้าม้าหรือไม่ หรือเป็นคนที่สร้างตัวตนออนไลน์ปลอม ๆ ขึ้นมา ด้วยการมีระบบ Verify ที่ดี จะทำให้ Voice นั้นสามารถใข้ได้จริง 

สุดท้าย การวัดที่ควรเป็น Metrics จริง ๆ คือ Conversion Rate และ ROI ที่เกิดขึ้นจริง ๆ ว่าการทำงานทีในธุรกิจและการทำการตลาดที่ลงไปนั้น ได้กลับมาเป็นยอดอะไรบางอย่างที่สื่อถึงการเติบโตทางธุรกิจขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็น 

1. ยอดสมาชิกที่เพิ่มขึ้น ที่ไปเพิ่มยอดขาย

2. ยอดขายที่เพิ่มขึ้น 

3. การลงทุนที่คุ้มค่าเพิ่มมากขึ้น 

4. กำไรที่เพิ่มขึ้น

ทั้งหมดนี้ควรเป็นตัวชี้วัดที่สำคัญมากกว่า การใช้ Cherry Picking Metrics ที่ไม่ได้บ่งชี้อะไรในทางธุรกิจขึ้นมาเลย 

รีวิว Franklin BBQ ร้าน BBQ อันโด่งดังอันดับต้น ๆ ของโลก

ประสบการณ์จากปี 2017

ถ้าใครได้ดูภาพยนต์เรื่อง Chef ที่ Jon Favreau เป็นผู้อำนวยการสร้างและนำแสดง จะมีอยู่ตอนหนึ่งที่ เชฟ Carl Casper ขับรถ FoodTruck ของตัวเองไปแวะที่เมือง Austin รัฐ Texas ที่ซึ่งเป็นที่ตั้งของร้าน Franklin BBQ ซึ่งใครได้ดูตอนนี้ คงต้องน้ำลายไหลแน่นอน โชคดีที่ผมได้มีโอกาสไปเทศกาล SXSW ที่ Austin พอดี เลยได้มีโอกาสไปแวะรับประทานที่ร้าน Franklin BBQ ดูเลย

jon-favreau-emjay-anthony-aaron-franklin-john-leguizamo-chef.jpg

รู้จักร้าน Franklin BBQ

franklintrailer.0.0

ร้าน Franklin BBQ เริ่มต้นเมื่อปี 2009 ในรูปแบบรถพ่วงโดย Aaron Franklin โดยใช้กรรมวิธีการย่างแบบ  TEXAS OJ’s BBQ ที่ค่อย ๆ ย่างไฟอ่อน ๆ และอบเนื้อเป็นระยะเวลายาวนานจนเนื้อนั้นได้ความสุกแบบนุ่มละลายในปาก ตั้งแต่ Aaron Franklin เปิดร้านขึ้นมาโดยขาย BBQ brisket ก็ขายหมดทุกวัน จนในปี 2011 นั้นร้านก็สร้างขึ้นมาใช้แทนที่ร้านรถพ่วงเดิมที่เคยมี ร้าน Franklin BBQ ออกรายการ Anthony Bourdain: No Reservations ในปี 2012 มาแล้ว และในปีเดียวกัน ประธานาธิบดีโอบามาก็ยังมารับประทานอาหารที่ร้านแล้วซื้อกลับไปเป็นมื้อเที่ยงอีกด้วย

ร้าน Franklin BBQ ได้ออกรายการมากมาย และสอนวิธีการทำ BBQ ตัวเองผ่านหนังสือแถมบอกเคล็ดลับทั้งหมด โดยไม่กลัวการที่ใครจะทำเลียบแบบ เพราะ Aaron Franklin บอกว่ากรรมวิธีการทำ BBQ ให้อร่อยนั้นมีรายละเอียดมากมายที่ต้องอาศัยประสบการณ์ในการทำและการเข้าใจในการปรับสูตรเพื่อให้ได้เนื้อเหมือนเดิมแต่ละครั้ง

พร้อมแล้วก็ไปลองกันเลย

ร้าน Franklin BBQ นั้นเป็นร้านที่ของจะหมดเร็วมาก ถ้าอ่านในคู่มือนำเที่ยว ทุกคนที่รีวิวจะแนะนำให้ไปตั้งแต่ก่อน 9 โมงเช้า  ทั้ง ๆ ที่ร้านเปิด 11 โมงเช้า เพราะไม่งั้นคุณจะไม่มีโอกาสได้รับประทานเลย เพราะของทั้งหมดจะหมดก่อนเที่ยง และคิวจะยาวมาก ดังนั้นด้วยการทำการบ้านล่วงหน้าของผม จึงได้ออกเดินทางจากที่พักไปที่ร้าน โดยร้านตั้งที่ 900 E 11th St. ของเมือง Austin

Screen Shot 2560-04-13 at 4.54.45 PM

ผมไปถึงประมาณ 8.30 ตอนเช้าก็มีคิวมาต่อประมาณ 30 กว่าคิวแล้ว ซึ่งร้านจะมีเก้าอี้จำนวนนึงให้ยืมนั่งรอจนกว่าร้านจะเปิด โดยผู้คนที่มารอคิวนั้นมาจากหลากหลายที่จากรัฐต่าง ๆ ในอเมริกา ส่วนคนท้องถิ่นจะรู้ดี โดยการเอาของมานั่งทานรอ หรือดื่มเบียร์เป็นลัง ๆ รอกัน

Screen Shot 2560-04-13 at 4.58.53 PM.png
Screen Shot 2560-04-13 at 5.00.05 PM.png
Screen Shot 2560-04-13 at 5.04.43 PM.png

ในระหว่างที่รอเปิดร้านในช่วงเวลาประมาณ 9.00-10.00 นั้นก็จะมีพนักงานของร้านมาตระเวณขายเครื่องดื่ม เพื่อให้คนที่รอนั้นได้มีเครื่องดื่ม ดื่มฆ่าเวลากัน โดยส่วนมากก็เป็นเบียร์ และใกล้ ๆ ร้านเปิดก็จะมีพนักงานสาวของร้านมาบอกว่าวันนี้ร้านมีของอะไรบ้าง ซึ่งร้านจะมี Brisket, ซี่โครงย่าง, Pulled Pork, Turkey และไส้กรอก วันที่ผมมานั้นโชคดี ที่มีครบทุกอย่าง เลยให้เค้าแนะนำว่าควรสั่งอะไรแค่ไหน เพื่อที่จะเหมาะกับการรับประทานไม่กี่คน

Screen Shot 2560-04-13 at 5.04.07 PM

ทั้งนี้พอใกล้ ๆ เวลาเปิดประมาณ 10.30 ทุกคนก็จะเริ่มเก็บเก้าอี้และเข้าแถวเพื่อเข้าร้านกันแล้ว ซึ่งนับว่าเป็นเวลาที่ตื่นเต้นมาก เพราะรอคอยมาตั้งแต่ 8.30 จนจะ 11.00 ถึงจะได้สั่งอาหารจริง ๆ

Screen Shot 2560-04-13 at 5.07.04 PM.png

การเข้าไปในร้านต้องทยอย ๆ กันเข้าไปซึ่งร้านด้านในจะรับได้ประมาณ 20 คิวโดยโต๊ะ ต่าง ๆ จะสงวนสิทธิ์ให้คนที่สั่งอาหารก่อน ใครที่ยังไม่สั่งจะไม่มีสิทธิ์ในการจองโต๊ะ ในระหว่างรอคิว ร้านก็มีสินค้าให้คนที่มานั้น Shopping มีทั้งเสื้อ หนังสือ และถุงแช่เย็น ถาดและกระดาษห่อเนื้อ

Screen Shot 2560-04-13 at 5.08.50 PM
Screen Shot 2560-04-13 at 5.08.38 PM
Screen Shot 2560-04-13 at 5.10.20 PM

พอถึงหน้าเคาเตอร์ก็สามารถสั่งเนื้อได้ โดยที่นี้จะใช้การสั่งเป็น ปอนด์ โดยต้องคำนวนให้ดี ถ้ามาประมาณ 2 คน ควรสั่งอย่างละประมาณ 1/4 ของปอนด์ เพื่อที่จะไม่ให้มากเกินไป หรือถ้าอยากเอาไปทานทีหลังก็สั่งประมาณ 1/2 ปอนด์ก็ได้

Screen Shot 2560-04-13 at 5.16.22 PM.png
Screen Shot 2560-04-13 at 5.14.48 PM.png

การมาครั้งนี้ผมได้สั่งเอา Brisket กับซี่โครงและ ไส้กรอกมาลองดู มีเครื่องเคียง เป็นมันบด นอกจากนั้นก็จะมีผักดองเคียงให้ตักกินฟรี ส่วนเครื่องดื่มนอกจากเบียร์ ก็จะมีน้ำอัดลมต่าง ๆ ให้ด้วย

Screen Shot 2560-04-13 at 5.18.34 PM.png
Screen Shot 2560-04-13 at 5.19.44 PM.png

ด้วยการย่างเนื้อผ่านถ่านไม้กว่า 18 ชั่วโมง ทำให้ Brisket และซี่โครงนั้นมีความนุ่มอย่างมาก แทบเรียกว่าละลายในปากเลยทีเดียว นอกจากนี้ยังมีซอส BBQ บนโต๊ะให้ลองเทจิ้มดู เพื่อตัดความเลี่ยนของมันเนื้อที่สุดแสนอร่อย รสชาติการหมักจะได้ผงเครื่องเทศตำหรับ Texas ออกมา

เนื้อซี่โครงสามารถเอาส้อมจิ้มเพื่อล้อนเนื้อออกจากกระดูกได้เลย ส่วน Brisket นั้นแทบละลายคามือเลยทีเดียว รสชาตหวานมันมาก ๆ (สำหรับใครไม่ชอบรสชาตอเมริกัน อาจจะเฉย ๆ) แต่พอกินมาก ๆ แล้วมันจะเลี่ยน ซึ่งฝรั่งที่มากินหลาย ๆ คนจะใช้ขนมปังตัดเลี่ยนแทน

Screen Shot 2560-04-13 at 5.22.21 PM

ทั้งนี้ในระหว่างนั่งทาน Aaron จะออกมาต้อนรับแขก ถามถึงรสชาตอาหาร และเราสามารถพูดคุย ขอความรู้รวมทั้งถ่ายรูปเขาไว้ได้ด้วย จากอาหารปริมาณทั้งหมดนี้ แน่นอนที่สั่งมานั้นทานไม่หมด ก็สามารถเอากระดาษห่อเนื้อที่มีในร้าน ห่อกลับบ้านได้ แล้วไปอุ่นไมโครเวฟ ก็ยังอร่อยอยู่ได้อีกหลาย ๆ วันเลยทีเดียว สำหรับใครที่ไป  Austin ผมว่าไม่ควรพลาดเลยกับร้านนี้ BBQ ที่สุดยอดร้านหนึ่งของโลกเลยครับ

สำหรับใครที่อยากศึกษาเพิ่มเติม ลองดูได้ที่ https://franklinbarbecue.com

Screen Shot 2560-04-13 at 5.26.31 PM.png
ฟืนที่ร้านเตรียมเอาไว้เผา