ในการสร้างสินค้าและบริการให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายนั้น มีความสำคัญอย่างมาก เพราะจะทำให้การทำสินค้าและบริการออกมานั้นไม่เสียเวลาในการปรับปรุงหรือพัฒนามากนัก การเข้าใจว่าสินค้าและบริการที่จะทำออกมานั้นมีกลุ่มลูกค้าที่พร้อมจะซื้อไหม และใหญ่แค่ไหน จะทำให้ธุรกิจสามารถเกิดการเติบโตและยั่งยืนได้ทันที
เพื่อที่จะสามารถพัฒนาสินค้าและบริการให้ตรงกลุ่มเป้าหมาย การเก็บข้อมูล หรือเก็บ Data ของกลุ่มเป้าหมายที่เราอยากจะขายสินค้าและบริการมีความสำคัญอย่างมาก เพราะจะทำให้เข้าใจว่า กลุ่มเป้าหมายนั้นมีความต้องการอย่างไร และอยากได้สินค้าอะไรที่จะเข้าไปเติมเต็มช่องว่างความต้องการของตัวเอง นอกจากนี้ยังช่วยในการทำ Customer Profile/Persona และการสื่อสารต่าง ๆ ออกมาได้อย่างชัดเจน ซึ่งในบทความนี้จะเอาประสบการณ์ของตัวเองมาเล่าให้ฟังในการเก็บ Data ของกลุ่มเป้าหมายขึ้นมา
เมื่อได้ Idea ทางธุรกิจแล้ว การสร้างสินค้าและบริการทางธุรกิจขึ้นมา ไม่สามารถจะทำได้ทันทีตามใจได้เลย แต่ต้องผ่านการคิด และการหาข้อมูลมาก่อน เพื่อที่จะสร้างสินค้าได้ถูกใจขึ้นมา ซึ่งวิธีการหาข้อมูลที่ง่ายที่สุดคือ
1. Web Community, Social Community : ในประสบการณ์ตอนที่จะเริ่มทำธุรกิจเพื่อแตกแบรนด์ในช่วง COVID-19 เพื่อที่จะหา Product fit to Market ก็จะทำการหาข้อมูลของความต้องการของกลุ่มเป้าหมายทางการตลาดใน Web community ต่าง ๆ ว่ามีความต้องการอย่างไร โดยการเข้าไปเก็บดูกระทู้ต่าง ๆ ละจดเอาไว้ว่า กลุ่มเป้าหมายแต่ละแบบมีความต้องการแบบไหน อยากได้สินค้าอะไร ออกมาใน Excel File ซึ่งในตอนเริ่มแรก ก็เริ่มจากเว็บไซต์ www.pantip.com ที่เป็น Online Community ที่ใหญ่ที่สุด และต่อด้วยการหา Web community ของกลุ่มเป้าหมายต่าง ๆ เช่น กลุ่มวัยรุ่น คนรุ่นใหม่ ที่จะกลายเป็นกลุ่มลูกค้าหลักก็เข้าไปหาใน Dek-D.com และกลุ่มที่เป็น Hish spending ที่ชอบสินค้าแบบนี้แน่ ๆ ในกลุ่ม Web Community ด้าน Fashion, beauty ออกมา จากนั้นก็ทำการสมัครเข้าสู่ Social Community เพื่อทำการเก็บข้อมูลเพิ่มเติม โดยเอามาลงเป็น Excel file เช่นกัน
จากการเก็บข้อมูลนี้ยังไม่ใช่ข้อมูลที่จะใช้ได้จริง เพราะการพิมพ์ในออนไลน์เป็นแค่พฤติกรรมการแสดงความคิดเห็นเท่านั้น แต่เราสามารถใช้ข้อมูลนี้ในการสร้าง Data อื่น ๆ เพื่อเชื่อมโยง โดยการหาว่า คนที่พิมพ์หรือเข้ามาตอบในความเห็นที่น่าสนใจนั้นเป็นคนแบบไหนขึ้นมา ตัวอย่างของ pantip.com ก็สามารถดูที่แต่ละคนว่า มีความสนใจเรื่องอะไร ความสนใจของคนที่โพส ตรงกับ Persona ที่แบรนด์อยากได้หรือไม่ หรือเอาความสนใจนี้มาสร้าง Persona ต่อได้ แถมได้ Interest, Attribute ของคนที่สนใจติดมาด้วย หรือแม้ใน social community เองก็สามารถทำได้เพิ่มเติมอย่างมาก โดยการเข้าไปเก็บ Profile ของคนที่มาโพส ว่าชอบเรื่องราวแบบไหน มี Personality เป็นอย่างไร และชอบเรื่องราวอะไรบ้าง ทำให้ได้ Interest, Attribute เหมือนกัน
2. การไป Observe และ interviews : จากการเก็บ Data ทางออนไลน์เพื่อให้ได้ไอเดียเบื้องต้น การออกไปข้อมูลตามโลกจริงนั้นก็เป็นเรื่องที่สำคัญ เพราะจะได้เจอสภาวะแห่งความเป็นจริงว่า กลุ่มลูกค้าที่จะซื้อสินค้าของตัวเองแท้จริงแล้วเป็นกลุ่มคนแบบไหนกันแน่ เพราะการที่โพสออนไลน์ หรือแสดงความคิดเห็นในออนไลน์นั้น ไม่ได้หมายความว่าเค้าจะมาซื้อสินค้าจริง เพราะอาจจะเป็นการสร้างภาพก็ได้ การเจอลูกค้าหรือกลุ่มเป้าหมายจริง ๆ จึงสำคัญ การเก็บข้อมูล โดยการไปร้านคู่แข่ง ห้าง หรือร้านที่มีสินค้าที่เรามีเป็นแรงบันดาลใจ เพื่อดูว่า กลุ่มคนที่มาซื้อมา เป็นกลุ่มคนแบบไหน อายุเท่าไหร่ เพศอะไร แต่งตัวแบบไหน แล้วหยิบสินค้าอะไร เป็นการเก็บข้อมูลทางอ้อมขึ้นมา โดยจดลงในตารางเพื่อมาทำ Excel เช่นกัน
นอกจากนี้ยังสามารถใช้วิธีการในการเข้าไปสอบถาม ขอ interviews สั้น ๆ อีกก็ได้ แต่ต้องเตรียมตัวในการที่จะเข้าไป Interviews ให้ดี เพราะจะต้องดูไม่รุกล้ำ และต้องมีสิ่งของตอบแทบในการเสียเวลานั้น ๆ ในการ Interviews แต่ Interviews ที่ง่ายที่สุดคือเริ่มจากการหาคนรอบตัวนี้มาสอบถาม เมื่อได้ข้อมูลมา ก็เอามาทำ Excel ว่า Persona เป็นแบบไหน ชอบอะไร หยิบอะไรมากสุด แบรนด์ที่หยิบตั้งชื่อสินค้าว่าอย่างไร
จากความต้องการนี้ ยังต้องเก็บ Hidden Truth ต่าง ๆ ขึ้นมา เพราะบางอย่างเป็นความชอบของแต่ละบุคคลแต่ไม่สามารถบอกได้เพราะเป็น Ugly Truth แต่หลาย ๆ ครั้ง ugly truth นี้ละ ที่กลับกลายมาเป็น niche product ที่สามารถทำเงินได้อย่างดีขึ้นมา ตัวอย่าางเช่น ความชอบแปลก ๆ หรือรสนิยมที่ไม่เหมือนใคร ก็สามารถเอาพัฒนาสินค้าและบริการได้เหมือนกัน
ด้วยการเก็บข้อมูลนี้ และการเชื่อมโยง Data เสมือนการทำ Graph Data แบบ Manual ขึ้นมา จะทำให้สามารถเห็นความเชื่อมโยงระหว่างแต่ละ Persona และแต่ละความต้องการออกมาได้ หลังจากนี้ก็วิเคราะห์แล้วว่า กลุ่ม Persona กับความต้องการไหนที่จะเป็น Potential ในการที่จะมาพัฒนาสินค้าต่อได้