The Big Short ทำ Data Mining ให้สุด จนสามารถทำนายปัญหาและหาโอกาสได้

-

“No one can see a bubble. That’s what makes it a bubble.”. ~ Michael Burry

เมื่อปี 2007 นั้นเกิดวิกฤตการณ์เศรษฐกิจครั้งใหญ่อย่างมากที่เป็นผลกระทบไปทั่วทั้งโลก และวิกฤตเศรษฐกิจนี้เกิดขึ้นจากการล่มสลายของตลาดอสังหาริมทรัยพ์อเมริกาทั้งหมด ซึ่งในเมืองไทยเองหลาย ๆ คนจะรู้จักวิกฤตเศรษฐกิจนี้ว่า Subprime หรือยาว ๆ Subprime mortgage crisis โดยผลลัพท์ของวิกฤตเศรษฐกิจนี้ทำให้โลกการเงินสั่นสะเทือนจนทำให้สถาบันการเงินใหญ่ ๆ อย่าง Lehman Brothers ที่ตั้งมากว่า 169 ปีต้องยุติกิจการลง และประกาศล้มละลายทันที

วันสุดท้ายของ Lehman Brothers

ในสถานการณ์ที่โรงการเงินล่มสลายลงไปนั้น กลับมีคนกลุ่มหนึ่งที่สามารถช่วงชิงโอกาสในการล่มสลายนี้มาสร้างผลประโยชน์ได้อย่างมหาศาลอย่างมาก และเรื่องราวของคนกลุ่มนี้ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนต์ในปี 2015 กับ The Big Short

ความน่าสนใจของภาพยนต์เรื่องนี้ จุดสำคัญอย่างมากคือตอนที่ Dr.Michael Burry นั้นเริ่มสนใจในตลาดอสังหาริมทรัพย์จนหาข้อมูลถึงระดับ Data Mining ลงไปในแต่ละสัญญาของการกู้ซื้อขายบ้าน หรือสัญญาทวงหนี้บ้านต่าง ๆ ขึ้นมา จนสามารถสังเกตุเห็นถึงความผิดปกติของการส่งงวดบ้านที่เกิดขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปขึ้นมา และรอวันที่จะประทุจนกลายเป็นวิกฤตใหญ่มากขึ้นมาได้

While the banks were having a big old party, a few outsiders saw what no one else could.~Jared Vennett

ก่อนอื่นเลยต้องเข้าใจว่า Subprime mortgage crisis คืออะไร ในช่วงเวลานั้นตลาดการเงินอเมริกา กำลังเติบโตในทางเศรษฐกิจ แต่ด้วยความที่ยังเติบโตไม่พอ ก็เลยมีนักการเงินหัวใส คิดถึงการมัดรวมสัญญากู้บ้านต่าง ๆ เพื่อคำ้ประกันการลงทุน ออกมาเป็น ตราสารหนี้ CDO ให้สถาบันการเงินซื้อไป เพื่อได้ดอกเบี้ยต่าง ๆ ที่เข้ามาหรือเก็งกำไรขายต่อ ปรากฏว่า ด้วยการที่กำไรมันมีอย่างมาก ทำให้ Demand ในความอยากได้มันสูงขึ้น แต่ Supply คุณภาพดีที่สามารถส่งค่างวดบ้านได้ไม่พอ ทำให้สถาบันการเงินที่ทำเรื่องนี้ต่างเริ่มทำ พันธบัตรหนี้บ้าน ที่มีคุณภาพต่ำลงมา ในส่วนของ Supply ก็ปล่อยสินเชื่อบ้านแบบไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม ทำให้คนซื้อบ้านไม่ว่าจะอาชีพหรือมีเครดิตแย่แค่ไหนก็ซื้อบ้านได้ ซึ่งนี้เป็นที่มาของสิ่งที่เรียกว่า “Subprime Mortgages”

จากการที่บ้านถูกปล่อยสินเชื่อง่าย ๆ นี้ ทำให้ตลาดอสังหาริมทรัยพ์เติบโตอย่างมาก มีการเก็งกำไรใหม่ ๆ ขึ้นมา และปั่นราคาบ้านเพิ่มขึ้นอย่างมาก ซึ่งด้วยการเติบโตนี้ทำให้ลูกหนี้ที่เครดิตแย่ ๆ เกิดขึ้นมาจำนวนมากด้วย บางคนไม่มีงานทำ มีบ้าน 3–4 หลัง หรือใช้ชื่อหมามาซื้อบ้านก็ยังมา ด้วยการที่มีลูกหนี้ที่เครดิตแย่นี้เอง ที่เป็นจุดเริ่มของวิกฤตการณ์นี้ เพราะด้วยการที่ลูกหนี้จำนวนมากนี้เบี้ยวหนี้ไม่ยอมส่งบ้าน จากที่มีจำนวนไม่มากในตลาด กลายเป็นเกือบส่วนใหญ่ในตลาดขึ้นมา ทำให้เงินที่จะจ่ายหนี้นั้นลดลงอย่างมาก สถาบันการเงินที่ถือหนี้เหล่านั้นไว้ ก็ต้องจ่ายค่าถือสินทรัพย์นี้จนไม่คุ้มทุนต่อไปอีกด้วย

No one is paying attention because the banks are too busy getting paid obscene fees to sell these bonds. — Jared Vennett

CDO น้ำมันราดกองไฟ

เมื่อ CDO ต่าง ๆ เริ่มมีความเสี่ยงเพราะมีลูกหนี้ที่จะเบี้ยวหนี้อยู่เยอะมาก ทำให้สถาบันประกันทั้งหลาย ต่างออกประกันที่จะลดความเสี่ยงนักลงทุนให้ โดยนักลงทุนจ่ายเบื้ยประกันเพื่อคุ้มครองความเสี่ยงที่จะถูกเบี้ยวหนี นอกจากนี้บริษัทประกันเหล่านี้ยังหัวใสหากำไรเพิ่ม โดยการสร้าง “ตราสารอนุพันธ์ประกันความเสี่ยง” กลับไปขายนักลงทุนว่า CDO ที่ประกันนั้นจะมีปัญหาหรือไม่ต่อไป เรียกได้ว่าเป็นการพนันเลยทีเดียว จากตรงนี้ยังไม่พอ ยังมีการทำ Synthesis CDO ที่ออกมาให้นักลงทุนได้พนันว่า “ตราสารอนุพันธ์ประกันความเสี่ยง” นี้จะมีปัญหาต่อไปหรือไม่อีกเป็นทอด ๆ อีกด้วย

People hate to think about bad things happening so they always underestimate their likelihood.

สุดท้ายแล้วตลาดก็ล่มสลายลงอย่างสิ้นเชิง เพราะด้วยดอกเบื้ยบ้านที่เริ่มลอยตัวสูงขึ้นเรื่อย ๆ จนทำให้ลูกบ้านหนี้เสียทั้งหลายเกิดอาการเบี้ยวหนี้พร้อม ๆ กัน จนทำให้สถาบันการเงินต่าง ๆ ต้องแบกรับหนี้ตรงนี้แทน

The banks got greedy and we can profit off of their stupidity.~Mark Baum

ด้วยการที่ Dr.Michael Burry ที่ในภาพยนต์ลงไปค้นหาความผิดปกติต่าง ๆ ของสัญญาณใน Data ของการปล่อยสินเชื่อบ้านนี้เอง ทำให้ Dr.Michael Burry นั้นเข้าไปแทงสวนตลาดทั้งหมดว่าตลาดบ้านนั้นจะเกิดการล่มสลายลง และให้สถาบันการเงินต้องจ่ายเงินต้องจ่ายเงินชดเชยเมื่อตลาดเหล่านี้ล่มขึ้นมา ซึ่งนอกจาก Dr.Michael Burry ยังมี Mark Baum และ Brownfield Capital ได้กำไรอย่างมหาศาลเมื่อฝุ่นจางจากเหตุการณ์นี้

Scion บริษัทของ Dr.Michael Burry

ด้วยตัวอย่างจาก The Big Short การมี Data ในมือหรือมี Data อย่างทั่วไปที่ใครก็เข้าถึงได้อย่าง ตลาดอสังหาริมทรัพย์นี้ ไม่ได้เป็นตัวบ่งบอกว่ามี Data แล้วจะใช้ได้เลย หากคุณไม่ได้ลงไปทำการ Data Mining ภายในขึ้นมาเพื่อหาความน่าสนใจของ Data นั้นเพื่อเอามาทำนายตลาดว่าโอกาสของธุรกิจคุณจะอยู่ที่ไหน ซึ่งถ้าคุณมี Data อยู่แล้ว ก็เหมือนมีน้ำมันดิบในมืออยู่ แต่คุณจะกลั่น Information ออกมา แล้วสร้างเป็น Insight ต่อไปด้วยการทำ Data mining นั้นเอง

Share this article

Recent posts

Popular categories

LEAVE A REPLY

Please enter your comment!
Please enter your name here

Recent comments