หลาย ๆ คนที่คิดจะทำธุรกิจตอนนี้ การที่จะสร้างธุรกิจขึ้นมาได้นั้น การที่จะสร้างธุรกิจให้รอดและเติบโตมาได้ ไม่ใช่ว่าจะเริ่มทำได้เลยตามแรงบันดาลใจที่อยากทำ การที่จะทำอะไรให้สามารถอยู่ได้ในระยะยาวนั้นคือการศึกษาตลาดให้แน่ใจก่อนว่า ตลาดต้องการอะไร หรืออยากได้อะไรกันแน่ ซึ่งการที่เราจะตอบความต้องการนี้ได้นั้นคือ การที่เรารู้จักสิ่งที่เรียกว่า Pain point
Pain point หรือ จุดที่เป็นปัญหาของกลุ่มลูกค้า หรือตลาดที่เราต้องการที่จะเข้าไปเป็นคน Supply ความต้องการต่าง ๆ ซึ่งก่อนอื่นนั้น เราต้องเข้าใจว่า Pain Point ของผู้บริโภคหรือกลุ่มเป้าหมายที่เราอยากได้นั้นคืออะไรกันแน่ โดยตัวอย่าง Classic ที่ใช้กันคือ ค้อนกับตะปู และภาพ
โดยมองว่า กลุ่มเป้าหมายอยากตอกตะปู เพื่อแขวนภาพ ถ้านักการตลาดทั่วไปโดยส่วนใหญ่ที่คิดกันคือการที่คิดว่า กลุ่มเป้าหมายนี้อยากจะได้ ต้อน เพื่อไปตอกตะปู เพื่อแขวนภาพนี้เอง และทำการขายค้อนขึ้นมา ซึ่งแน่นอนไม่ผิด แต่ในความจริงแล้ว Pain Point ที่แท้จริงของเรื่องนี้ไม่ใช่การที่อยากตอกตะปู แต่คือการที่อยากได้รู้ เพื่อสร้างตะขอเกี่ยวภาพขึ้นมา ดังนั้น การขายเครื่องมือที่สร้างรู และตะขอ นั้นจะเป็นการตอบโจทย์ความต้องการนี้มากกว่า
ดังนั้นการที่จะสามารถตอบโจทย์ Pain Point ให้ได้นั้น การเข้าใจความต้องการที่แท้จริงของกลุ่มเป้าหมายที่อยากได้นั้นจึงเป็นเรื่องสำคัญอย่างมาก โดยมาก เพื่อที่จะได้เข้าใจ Pain Point ของกลุ่มเป้าหมายจริง ๆ ส่วนใหญ่จะนิยมการทำ Design Thinking ขึ้นมา เพื่อหาว่าความต้องการที่แท้จริงคืออะไร แต่โดยย่อของ Design Thinking จริง ๆ แล้ว มันก็คือ Empathy คือความเข้าใจ และมองด้วยสายตาของกลุ่มเป้าหมายว่าอยากได้อะไรกันแน่ขึ้นมา และสร้าง Solution เพื่อมาตอบสนองความต้องการและ Pain Point ตรงนั้นขึ้นมา
ซึ่งการที่จะทำการหาข้อมูลเพื่อมาสร้าง Pain Point สามารถทำได้หลากหลายวิธีอย่างมาก ขึ้นกับงบประมาณทางการสร้างแบรนด์ใหม่ที่คุณมีเลย ถ้าคุณเป็นแบรนด์ยักษ์ใหญ่ อาจจะใช้งบในการทำ Focus Group/ Deep interview และเครื่องมือต่าง ๆ มากมายมาเพื่อให้ได้คำตอบที่ต้องการ แต่ถ้าคุณเป็นคนทำธุรกิจที่เป็นระดับ SME หรือไม่มีงบประมาณเลย การหา Pain Point โดยไม่ต้องใช้งบประมาณทางการตลาดมากมายก็ทำได้เช่นกัน ซึ่งสามารถทำได้ผ่านตัวอย่างวิธีเหล่านี้
1. การหาจาก Online : ในยุคที่คนอยู่ในโลกออนไลน์กันมากมาย เราสามารถหาข้อมูลความต้องการของกลุ่มเป้าหมายได้ทันที จากการเก็บข้อมูลการสนทนา หรือ การโพสผ่านออนไลน์ต่าง ๆ นั้นเอง เพียงแค่เข้าไปตามเว็บบอร์ด Group ต่าง ๆ และโพสต่าง ๆ ของแบรนด์ที่เราตั้งเป็นเป้าหมาย แล้วทำการเก็บข้อมูลมาใช้งาน
ข้อดี : ได้เยอะ เร็ว และ ง่าย
ข้อเสีย : คนอาจตอบไม่ตรงความจริง และต้องมานั่งกลั่นกรองข้อมูล
2. การหาได้จากการคุยกับคนทั่วไป : สิ่งที่เริ่มได้ง่ายที่สุดในการเก็บข้อมูลของการหาข้อมูลจกาคนที่อยู่รอบ ๆ ตัวของเรานั้นเอง โดยใช้การสอบถาม หาอาสาสมัครที่จะมาช่วยตอบคำถามในเรื่องที่เราสงสัยและอยากได้คำตอบขึ้นมา เพื่อให้ได้ข้อมูลมาใช้งานต่อไป
ข้อดี : เร็ว และ ง่าย
ข้อเสีย : อาจจะไม่ได้ความหลากหลาย
3. การไปสังเกตแบรนด์คู่แข่ง แบรนด์เป้าหมาย : คือการเข้าไปสังเกตว่า คู่แข่ง หรือเป้าหมายของแบรนด์เรานั้น ทำอะไรขาย และคนชอบมาลองอะไร หรือมาถามอะไรจากแบรนด์นั้น ๆ อาจจะไปเดินตามห้างเพื่อทำการสังเกตคนที่มาซื้อ มาลอง มาถาม และลองถามคนขายดูได้ เป็นการเก็บข้อมูลอีกแบบเพื่อหาคำตอบขึ้นมา
ข้อดี : เร็ว และ ง่าย
ข้อเสีย : อาจจะไม่ได้ความหลากหลาย
บทสรุปคือการใช้ Gut Feeling ตัวเอง หลาย ๆ ครั้ง เมื่อได้ข้อมูลมาทั้งหมด สิ่งที่จำเป็นในการตัดสินใจที่จะทำหรือไม่ทำอะไรบางอย่างที่สำคัญอย่างมาก คือ Gut Feeling ที่ได้จากข้อมูลนั้น ๆ ขึ้นมา โดยการที่สามารถเข้าใจกลุ่มเป้าหมาย อย่างลึกซึ้งเพื่อที่จะกลั่นออกมาได้ว่าจะสร้าง Solution อะไรเพื่อตอบสนองความต้องการตรงนั้นดี
ทั้งนี้การที่จะหา Pain Point ที่ดีในยุคนี้เพื่อที่จะทำให้แบรนด์เติบโตได้ดีนั้น ไม่ใช่แค่การหา Pain Point เฉพาะที่อีกต่อไป ด้วยการที่โลกเราไร้พรมแดนกันมากขึ้น การหา Pain Point ที่จะสามารถขายหรือตอบความต้องการในระดับ Global ได้นั้นจึงสำคัญอย่างมากอีกด้วย เพราะการหาไว้แต่เนิ่น ๆ จะทำให้ปัญหาในอนาคตในการขยายตลาดนั้นหมดไปอย่างง่ายดายโดยทันที
ซึ่งการที่ต้องหา Global Pain Point ให้ได้นั้น คือการที่เอาแบรนด์เข้าสู่ตลาดระดับโลกในการทำแบรนด์ตั้งแต่วันแรกเลยทันที แถมเมื่อคิดถึง Market Cap ของประเทศไทยที่มี การที่จะเติบโตอย่างไร ก็ยังมีกำแพงของมูลค่าตลาดในประเทศอยู่ ดังนั้นการคิดถึงตลาดต่างประเทศตั้งแต่ทำแบรนด์เลย คือการที่มองหามูลค่าตลาดที่สูงขึ้นมาได้อย่างทันที และสร้างความพร้อมของแบรนด์ก่อนออกสู่ตลาดต่างประเทศนั้นเอง